ติดดอย LTF ทำอย่างไรดี? ส่องความเห็นกูรูกองทุน เปิดทางเลือก “ถือต่อ” หรือ “ขายออก”

Personal Finance

Wealth Management

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ติดดอย LTF ทำอย่างไรดี? ส่องความเห็นกูรูกองทุน เปิดทางเลือก “ถือต่อ” หรือ “ขายออก”

Date Time: 7 ก.พ. 2568 10:57 น.

Video

“Bulgari” ไทยโอกาสใหม่ Luxury | BrandStory Exclusive EP.10

Summary

  • ส่องคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุน ติดดอย LTF ทำอย่างไรดี ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนหนัก เปิดทางเลือกนักลงทุนควร “ถือ” หรือ “ขาย” แบบไหนได้ประโยชน์สูงสุด

Latest


หากพูดถึงการลงทุนที่เคยได้รับความนิยมสูงในหมู่คนทำงาน กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF (Long-Term Equity Fund) คงเป็นชื่อที่หลายคนนึกถึง เพราะไม่เพียงช่วยสร้างการออมระยะยาว แต่ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งดึงดูดนักลงทุนจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม กองทุน LTF ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งนับเป็นปีสุดท้ายที่ซื้อได้ จนถึงปัจจุบันก็ครบอายุเกือบหมดแล้ว จากเกณฑ์ที่ต้องถือครองเป็นเวลา 7 ปี ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ผันผวนอย่างหนัก ทำให้นักลงทุนหลายคนมีผลตอบแทนติดลบ

ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า หากติดดอย LTF อยู่ จะทำอย่างไรต่อดี ?

วโรฤทธิ์ จีระชน Head of Investment Research บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า นักลงทุนที่ยังถือ LTF อยู่วันนี้ สามารถขายได้ทั้งหมดแล้วหลังครบ 7 ปีตามเงื่อนไข ฉะนั้นนักลงทุนหรือผู้ที่ได้ลดหย่อนภาษีผ่านการซื้อกองทุน LTF ควรจะพิจารณาแบบไม่มีต้นทุน

เพราะราคาหน่วยลงทุน LTF มีการปรับมูลค่าของหลักทรัพย์ให้เป็นจริงตามราคาตลาดล่าสุด หรือมีการ “Mark to Market” ไปทุกวัน ดังนั้น ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกรับรู้ตอนขายแล้ว

ดังนั้น วิธีที่นักลงทุนควรพิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าจะถือไว้ต่อไป หรือจะขายออกนั้น คือเรื่อง “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” หรือ Opportunity Cost ว่ามีอะไรบ้าง เช่น หากขายออกไปแล้ว จะนำไปลงทุนอะไรต่อ และสิ่งจะนำไปลงทุนต่อนั้น เมื่อเทียบกับการถือไว้แล้วดีกว่าหรือไม่ เพื่อใช้เป็น Framework ในการตัดสินใจ

ขณะเดียวกัน ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 1,300 จุด นั้น ถือว่าขาดความเชื่อมั่นไปมาก ทำให้ความคึกคักในการซื้อขายลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการซื้อขายราว 3.7-4 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้น

เมื่อราคาหุ้นลดลงในขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก หลายคนจึงมองว่าราคาหุ้นก็อาจไม่ได้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มาก แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อกำไร บจ. ไม่ได้ปรับลดลงมากเท่ากับราคาหุ้น จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังดูดีเช่นกัน

แนะหาจังหวะขาย แล้วเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีอื่น

อย่างไรก็ตาม ถ้าราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวลดลงมา จะขายไปเพื่อหาโอกาสการลงทุนอื่นๆ นั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ช่วงนี้จะค่อนข้างเสี่ยงเพราะว่าดัชนีเพิ่งลดลงมาเยอะภายในไม่กี่วัน ซึ่งมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน ดังนั้น ต้องหาจังหวะในการขายให้ดี

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการขายเพื่อนำไปลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีอื่นๆ นั้น สามารถทำได้ โดยเลือกลงทุนในกองทุน RMF และกองทุน ThaiESG ซึ่งโจทย์ในการเลือกลงทุนนั้น ขึ้นอยู่กับอายุและความเสี่ยงที่รับได้ อย่างไรก็ตาม มองว่าควรซื้อทั้งสองรูปแบบเพื่อวางแผนการเงินระยะยาวและกระจายความเสี่ยง โดยแต่ละกองทุนมีจุดเด่น ดังนี้

กองทุน ThaiESG เน้นลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทย มีระยะเวลาการถือครอง 5 ปี ทำให้มีสภาพคล่องดีกว่า
กองทุน RMF ต้องถือจนครบอายุ 55 ปี แต่มีสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้หลากหลายกว่า
อย่างไรก็ตาม เทรนด์การลงทุนในช่วงนี้ยังชอบหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม AI จากมองว่าสามารถเติบโตได้ในระยะยาว ส่วนตลาดหุ้นเอเชียและจีนในปีนี้ยังต้องจับตามอง โดยรัฐบาลต่างต้องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกพอสมควร ดังนั้น อาจเป็นตลาดหุ้นที่สามารถไปต่อได้ในระยะยาวได้

ผู้จัดการกองทุนยังดูแล LTF หากมีเงินเข้ามาในกองทุน

ด้าน สาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด ชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจว่าจะถือต่อหรือขายออกไปนั้น อยู่ที่นักลงทุนตัดสินใจว่ามีความต้องการใช้เงินเร่งด่วนหรือไม่ หากมีความต้องการใช้ ก็อาจตัดสินใจขายออกได้ทันที

แต่หากตัดสินใจขายเพราะคิดว่ากองทุน LTF ครบกำหนดอายุ แล้วจะไม่มีผู้จัดการกองทุนดูแลนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะผู้จัดการกองทุนยังดูแลการลงทุนเหมือนเดิม ถ้ายังมีเงินลงทุนอยู่ในกองทุน

อย่างไรก็ตาม หากต้องการนำเงินนั้นไปลงทุนต่อ และต้องการหาผลตอบแทนต่อไป ด้วยจังหวะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ราว 1,300 จุด มองว่าเป็นระดับที่ต่ำเกินไปในการขายออก เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น โดยแนะนำให้รอจังหวะที่ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมาระดับหนึ่งก่อน จึงตัดสินใจขายออก

นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีทางเลือกในการถอนเงินลงทุนจากกองทุน LTF เพื่อนำไปลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีอื่นๆ ได้ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนจากการประกาศนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วง 100 วันแรก แต่มุมมองการลงทุนในระยะกลาง ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น

พร้อมแนะนำให้โฟกัสกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี AI โดยมองว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์ที่จะผ่อนผันกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้กับภาคธุรกิจ รองลงมาคือกองทุนในตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะเวียดนามและอินเดีย โดยมองว่ายัง Laggard อยู่ โดยนักลงทุนต้องหาจังหวะในการเข้าซื้อ

ขายออกต้นปี มีโอกาสเซฟเงินได้ 10%

ขณะที่ ศกุนพัฒน์ จิรวุฒิตานันท์, CISA กรรมการบริหาร ผู้ก่อตั้ง และ Group CEO กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เทรเชอริสต์ เปิดเผยว่า อย่างที่ทราบว่ากองทุน LTF จะสามารถขายได้ทั้งหมดในปีนี้ โดยสิ่งที่นักลงทุนทำได้คือ “ถือต่อไป” หรือ “ขายออกมา” อย่างไรก็ตาม หากถือต่อไป ก็อาจมีโอกาสขาดทุนเพิ่มเติม จากทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่เห็นปัจจัยใหม่ที่จะมีโอกาสให้ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง

ซึ่งหากพิจารณาจากแนวโน้มดังกล่าว เทรเชอริสต์ จึงมีคำแนะนำให้ขายออกมาก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากการถือหุ้นไทย ในช่วงเวลาที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยนักลงทุนจะต้องมีการทำรายการและเอกสารต่างๆ พร้อมวางแผนในการบริหารเงินที่ได้จากการขายออกมาด้วย

ศกุนพัฒน์  ชี้ให้เห็นว่า เมื่อช่วงต้นปี 2568 เทรเชอริสต์ แนะนำลูกค้าว่าให้ขายออกมาก่อน จากตอนนั้นดัชนีอยู่ราว 1,400 จุด มาถึงวันนี้ปรับตัวลดลงเกือบ 10% ฉะนั้น หากใครขายออกตั้งแต่ต้นปี ก็สามารถเซฟเงินไปได้ถึง 10% นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในระยะเวลาแค่ 1 เดือนกว่าเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เป็นโจทย์ยากของผู้ลงทุนไทยส่วนใหญ่ เพราะเวลาขาดทุนแล้ว มักทำให้ตัดสินใจยาก และมีความหวังอยู่เรื่อยๆ ว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ แต่สำหรับแนวทางของเทรเชอริสต์นั้น มองว่า เมื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยย่อตัวมาถึงจุดหนึ่งแล้ว จะแนะนำให้ขายออกทันทีเพื่อรักษาเงินต้นไว้

ทั้งนี้ เมื่อตัดสินใจขายออกมาแล้ว นักลงทุนสามารถนำเงินไปกระจายลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่เห็นศักยภาพและน่าสนใจได้ทันที เช่น กองทุนทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างมาก หรือหุ้นยุโรปที่มีการฟื้นตัวได้ดี

ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีต่อ มี 2 ทางเลือกคือ 

  1. กองทุน ThaiESG โดยปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะยาวให้ผลตอบแทนดีระดับ 6-7% ถือว่ามีความน่าสนใจ จากโลกกำลังอยู่ในภาวะดอกเบี้ยขาลงอยู่ 
  2. กองทุน RMF ที่มีตัวเลือกสินทรัพย์หลากหลาย 

สำหรับกองทุนปกติที่น่าสนใจในการจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แนะนำ กองทุนทองคำ, กองทุนหุ้นพลังงานทั่วโลก, กองทุนหุ้นยุโรป, กองทุนหุ้นจีน รวมถึงกองทุนหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามอายุและความเสี่ยงที่รับได้


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ