
ในช่วงที่ต้นทุนพุ่ง กำลังซื้อหด การทำธุรกิจแทบทุกบาททุกสตางค์ต้องระวัง แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการหลายค นอาจมองข้ามคือ “ภาษีย้อนหลัง” เพราะถ้าวันหนึ่งถูกตรวจสอบขึ้นมา แม้ธุรกิจจะเดินหน้าดีแค่ไหน ก็มีสิทธิ์ สะดุดจนไปต่อไม่ไหว
ดั่งเช่น กรณีที่เคยเป็นข่าวดัง ช่วงปี 2567 ที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อพ่อค้าขายยำ ถึงกับมืดแปดด้าน เพราะโดนภาษีย้อนหลัง 6 ปี เป็นเงินถึง 2,500,000 บาท เคสในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องภาษีอย่างถูกต้อง และไม่ได้มีการจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบเหมือนนิติบุคคล ทำให้เมื่อถูกตรวจสอบย้อนหลังแล้วภาระภาษีที่ต้องจ่าย จึงเป็นก้อนใหญ่และไม่สามารถหาหลักฐานค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนได้
อีกทั้งไม่มีระบบบัญชีหลัก การซื้อ-ขายมักไม่มีใบเสร็จหรือหลักฐานค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีได้เต็มที่ กรมสรรพากรจึงมักประเมินรายได้ในอัตราที่สูงขึ้น นี่จึงอาจกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ที่ซ่อนอยู่ ในเบื้องหลังความสำเร็จ และตอกย้ำว่า “ภาษีย้อนหลัง” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
หลายคนอาจสงสัยว่า ภาษีย้อนหลัง คือ อะไร และทำไมกรมสรรพากร ถึงรู้ว่าใครไม่ยื่นแบบภาษีหรือใครจ่ายภาษีไม่ถูกต้อง หากพูดให้ ง่ายๆ ภาษีย้อนหลัง ก็คือ การที่กรมสรรพากรตรวจสอบพบว่ามีผู้เข้าข่ายเลี่ยงภาษี หรือจ่ายภาษีไม่ถูกต้อง จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ตาม จึงส่งหนังสือแจ้งการชำระภาษีย้อนหลังมาให้นั่นเอง
ถามว่ากรมสรรพากรรู้ได้อย่างไร? ปัจจุบันมีหลายช่องทางใน การตรวจสอบ ทั้งเจ้าหน้าที่สรรพากรออกตรวจเยี่ยมด้วย ที่ สถาบันการเงินส่งข้อมูลให้เมื่อมีการรับโอนเงิน ผ่านระบบ E-payment หรือดูข้อมูลจากใบ 50 ทวิ (หนังสือรับรอง หัก ณ ที่จ่าย) ที่บริษัทต่างๆ ส่งให้กับกรมสรรพากร ตลอดจนการเปิดให้ แจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ www.rd.go.th เป็นต้น
การเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ถ้าเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและ นิติบุคคล มีอายุความ 2 ปี นับจากวันที่ยื่นภาษี แต่หากพบหลักฐานว่าจงใจหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีสามารถขยายเวลา อายุความไปได้ถึง 5 ปี กรณีผู้ที่เคยยื่นแบบภาษีสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ 10 ปี ส่วนภาษีธุรกิจสามารถตรวจสอบย้อนหลัง ได้มากถึง 10 ปีเช่นกัน
ก่อนจะไปถึงมาตรการลงโทษสำหรับผู้ที่เลี่ยงจ่ายภาษี ต้องเข้าใจก่อนว่า “เบี้ยปรับ” และ “เงินเพิ่ม” ไม่ใช่คำเดียวกัน แม้หลายคนจะสับสน แต่จริง ๆ แล้วแยกออกจากกันชัดเจน
1. เบี้ยปรับ (โทษทางแพ่ง)
- ยื่นทันเวลา แต่เสียไม่ครบ จะถูกปรับ 1 เท่า ของภาษีที่ต้องจ่าย
- ไม่ยื่นภาษีตามกำหนด ปรับ 2 เท่า ของภาษีที่ต้องจ่าย
2. เงินเพิ่ม (ดอกเบี้ยผิดนัด)
3. โทษทางอาญา (ในบางกรณี)
นอกจากโทษทางแพ่งแล้ว หากพบการกระทำที่เข้าข่าย เจตนาเลี่ยงภาษี อาจมีโทษทางอาญาด้วย ได้แก่
การเข้าใจความแตกต่างของ เบี้ยปรับ - เงินเพิ่ม - โทษอาญา จึงสำคัญมาก เพราะนี่คือ “ตัวคูณ” ที่ทำให้ภาระภาษีที่ถูกเรียกเก็บย้อนหลัง บานปลายจนบางธุรกิจรับไม่ไหว และถึงขั้น “ล้มละลาย” ได้
จะสังเกตเห็นได้ว่า การถูกตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง มักเกิดขึ้นหลังจากที่ธุรกิจดำเนินกิจการมาแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าภาษีที่ค้างจ่ายนั้นได้สะสมมาเป็นเวลาหลายปี ยิ่งไปกว่านั้น อย่างที่ระบุไปตอนต้น ว่า กรมสรรพากรยังเรียกเก็บค่าปรับและเงินเพิ่มที่อาจสูงถึง 1-2 เท่าของเงินต้นภาษีที่ขาด และ เงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน ของภาษีที่ยังไม่ได้จ่าย ซึ่งทำให้ยอดหนี้รวมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าที่ธุรกิจจะจ่ายไหว
ที่มา : กรมสรรพากร , K SME กสิกรไทย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney