จัดสรรใหม่อะไรจำเป็นกับชีวิต เปิด 6 แนวทาง วางแผนหลังภัยพิบัติ เตรียมพร้อมการเงินเพื่อความมั่นคง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ทิ้งความเสียหายให้กับบ้านเรือนหรือสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจและรวมไปถึงภาระทางการเงินที่ผู้คนต้องแบกรับหลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหว สึนามิ ไฟป่า หรือน้ำท่วม ก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาวของผู้คนทั้งนั้น

คนไทยเริ่มตระหนักได้ถึงความไม่แน่นอนในด้านการเงิน เนื่องจากภัยพิบัติอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจชะลอการเติบโต หลายคนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและประหยัดมากขึ้น รวมถึงความต้องการในที่พักอาศัยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงก้าวพลาดกับการวางแผนการเงินและความปลอดภัยของตัวเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดาได้

แผ่นดินไหวสะเทือนพฤติกรรมการใช้เงินของคนไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เผยว่า การประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวมจากเหตุการณ์นี้อาจทำให้ GDP ปี 2568 ลดลง -0.06%

โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบด้านความเชื่อมั่นจากเหตุตึกถล่ม เนื่องจากเกิดการตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของตึกทำให้ประชาชนลังเลที่จะซื้อคอนโดสูง เพราะกลัวความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและหันไปสนใจคอนโดสูงไม่เกิน 8 ชั้น (โครงการ Low-rise) แทน แม้ว่าผลกระทบนี้อาจเกิดขึ้นเพียงในระยะสั้น ๆ แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมการเลือกซื้อของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไป คนไทยอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อตึกที่ปลอดภัยกว่าหลังจากเผชิญกับความเสี่ยงจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ผู้คนยังแสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจ เพราะการเริ่มต้นใหม่หลังจากภัยพิบัตินั้นมาพร้อมกับความไม่แน่นอนและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต และการชำระเงินกู้ แม้ว่าผู้ให้กู้อาจมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ แต่ก็ควรวางแผนเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่บานปลายและหลีกเลี่ยงค่าปรับหากผิดนัดชำระ

นอกจากนี้ยังรวมถึงในกรณีที่ทรัพย์สินได้รับความเสียหายหลังภัยพิบัติ เช่น บ้านมีรอยร้าวจากแผ่นดินไหวที่อาจทำให้เจ้าของต้องแบกรับหนี้ก้อนโตจากการซ่อมแซมบ้านหากขาดความพร้อมในการรับมือล่วงหน้า ดังนั้นการวางแผนเพื่อเตรียมตัวสำหรับรับมือกับผลที่จะตามมาหลังเกิดภัยพิบัตินั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย

6 แนวทาง รอดพ้นวิกฤต จัดการเงินให้ไม่สะดุดหลังเผชิญภัยพิบัติ

1. จัดเตรียมเอกสารให้พร้อม แปลงเอกสารสำคัญให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่น กรมธรรม์ประกันภัย บัตรประชาชน เอกสารทางการแพทย์ และโฉนดที่ดิน เพื่อความสะดวกและเผื่อในกรณีหล่นหาย ในส่วนของสำเนาเอกสารฉบับจริงให้เก็บไว้ในที่ปลอดภัยซึ่งอยู่นอกบ้าน เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้หรือน้ำท่วมจนบ้านเสียหาย เราจะยังคงสามารถติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหาเอกสารและป้องกันเอกสารเสียหายได้อีกด้วย
2. ประเมินความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ ตรวจสอบโครงสร้างของบ้าน เช่น เสา คาน ผนัง หลังคา ว่ามีรอยร้าวหรือแตกรุนแรงหรือไม่ เช็กระบบไฟฟ้า น้ำประปา รวมถึงแก๊ส หากพบความเสียหาย ควรปิดระบบและติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญทันที สำรวจรถว่ามีรอยบุบ กระจกแตก หรือเครื่องยนต์เสียหายจากภัยพิบัติหรือไม่ เมื่อประเมินความเสียหายแล้วให้ถ่ายรูปหรือวิดีโอเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นเคลมประกันหรือขอความช่วยเหลือในขั้นตอนต่อไป
3. ติดต่อประกันเพื่อยื่นเคลม ตรวจสอบว่ากรมธรรม์ประกันภัยครอบคลุมค่าใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน และทรัพย์สินอยู่ภายใต้กรมธรรม์ใดบ้าง เช่น ประกันรถยนต์, ประกันอัคคีภัย จากนั้นพูดคุยกับตัวแทนประกันเพื่อแจ้งเกี่ยวกับความเสียหายโดยเร็วที่สุด เนื่องจากบางนโยบายอาจกำหนดให้ต้องยื่นคำร้องภายในระยะเวลาที่กำหนดหลังจากเกิดภัยพิบัติ อ่านทำความเข้าใจในกรมธรรม์ประกันภัยอย่างละเอียดและไม่รีบร้อนในการตกลงค่าสินไหมทดแทนเร็วเกินไป นอกจากนี้อย่าลืมเก็บสำเนาเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเคลมไว้เป็นหลักฐาน และหากประสบปัญหาระหว่างกระบวนการเคลมให้ติดต่อ คปภ. สายด่วน 1186
4. ติดตามข้อมูลและหาแนวทางจัดการหนี้สิน กรณี "บ้าน" ได้รับความเสียหาย ติดต่อผู้ให้เช่าเพื่อคุยเรื่องหาแนวทางการชำระหนี้ เพราะแม้ว่าบ้านจะได้รับความเสียหายแต่ค่าผ่อนยังคงอยู่ หลีกเลี่ยงการค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ติดต่อหน่วยงานการไฟฟ้าและการประปา เพื่อขอระงับการให้บริการหากไม่สามารถอยู่อาศัยในบ้านได้ ในส่วนกรณี "รถ" ได้รับความเสียหาย ติดต่อและสอบถามว่ามีมาตรการบรรเทาทุกข์หรือโครงการผ่อนผันสำหรับผู้ประสบภัยหรือไม ทั้งนี้ หากทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ หรือทรัพย์สินอื่นควรรีบติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อหาแนวทางการชำระและการผ่อนผันหนี้สิน หรือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ เพราะภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว และเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศนั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกลยุทธ์การจัดการทางการเงินของผู้คน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวิธีการปรับตัวเพื่อบรรเทาความสูญเสียทางเศรษฐกิจและเพิ่มความยืดหยุ่นด้านหนี้สินเพื่อผู้ประสบภัยด้วยเช่นกัน
5. สำรวจการเงินของตัวเอง การสำรวจการเงินของตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็น เพราะหากรายได้ของเราลดลง เราจะต้องวางแผนการใช้จ่ายเพื่อให้สามารถจัดการค่าใช้จ่ายได้โดยไม่เป็นหนี้เพิ่ม โดยสิ่งที่ต้องทำคือ ทำบัญชีค่าใช้จ่าย ควบคุมงบประมาณของตัวเองในแต่ละวัน วางแผนการซื้อ หรือชำระหนี้ที่จำเป็นก่อน
6. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการเงินแบบองค์รวมควรครอบคลุมหลายด้าน เช่น การลงทุน การวางแผนภาษี การเกษียณอายุ และการจัดการมรดก

การมีแผนการเงินที่ชัดเจนจะช่วยลดความเครียดเพิ่มเติมในกรณีเกิดภัยพิบัติ การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง เช่น นักวางแผนการเงินที่ได้รับใบอนุญาต จะช่วยให้เราสามารถรู้จุดอ่อนทางการเงินของตัวเองและแก้ไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทุกเหตุการณ์ในอนาคต

อ่านเพิ่มเติม

• หมดยุคตึกถูก? “แผ่นดินไหว” อาจทำให้ บ้าน-คอนโดฯ แพงขึ้น ความปลอดภัยที่คนไทยต้องแลก
• เช็กลิสต์ วิธียื่นเคลมประกันภัย “แผ่นดินไหว”
• “ทรัพย์สินเสียหาย” จากแผ่นดินไหว บริษัทประกันเปิดวิธีเคลมค่าสินไหม เอกสารที่ต้องใช้
• บริษัทประกัน ประกาศขยายเวลา “จ่ายเบี้ย” บรรเทาความเดือดร้อน ลูกค้าประสบภัยแผ่นดินไหว

อ้างอิงข้อมูลจาก Consumer Financial  , Investopedia 

อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้

https://www.facebook.com/ThairathMoney