สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก พร้อมดูแลลูกค้าทุกกลุ่ม หลังกนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ย้ำรายย่อยส่วนใหญ่ไม่กระทบ ส่วนกลุ่มเปราะบางจะมอนิเตอร์ช่วยเหลือเป็นพิเศษ
เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 65 นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังจาก กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ 0.75% ต่อปีนั้น สมาคมธนาคารไทย และ ธนาคารสมาชิก ประเมินว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง
โดบเป็นการฟื้นตัวแบบ The New K-shaped Economy และมีปัจจัยความท้าทายรอบด้าน จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบกับค่าครองชีพและต้นทุนของภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ตระหนักถึงผลกระทบของลูกค้าประชาชน พร้อมดูแลให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ให้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ที่ให้แนวทางการปรับนโยบายการเงินของไทยเข้าสู่ภาวะปกติในรูปแบบ Smooth Takeoff โดยนโยบายดอกเบี้ยจะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป
โดยจะควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้ารายย่อยและ SME โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ให้ความสำคัญกับการดูแลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ เพื่อชะลอผลกระทบกับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่อยู่ระหว่างการปรับตัวให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ประคับประคองให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ค่อยๆ กลับมา สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อให้สามารถมีรายได้สมดุลกับรายจ่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับความเหมาะสมทั้งฝั่งของลูกค้าเงินฝากและเงินกู้ จังหวะ และขนาดของการปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดแรงกดดันของเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไม่ให้เกิดการสะดุดของการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการ และภาคประชาชน
ทั้งนี้ ลูกค้ารายใหญ่มีความยืดหยุ่น สามารถสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริงได้ก่อน ส่วนลูกค้ารายย่อยส่วนใหญ่ได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ ทั้งสินเชื่อ เช่าซื้อ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย แม้จะใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แต่ค่างวดผ่อนชำระต่อเดือนคงที่ จึงได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มากนัก
นอกจากนี้ยังมีมาตรการแก้หนี้ระยะยาวผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างตรงจุดให้กับผู้ประกอบธุรกิจและประชาชน เพื่อไม่ให้กลายเป็นหนี้เสีย มีผลบังคับใช้จนถึงสิ้นปี 2566 คาดว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นชัดเจน มาตรการเพิ่มสภาพคล่องผ่านสินเชื่อฟื้นฟู ดำเนินการจนถึงเดือน เม.ย. 66 ซึ่งแต่ละธนาคารได้จัดทำทางเลือกการให้ความช่วยเหลือลูกค้าแต่ละกลุ่มให้สอดคล้องกับปัญหาและสถานะของแต่ละราย เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด
สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก จะติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการดูแลคุณภาพสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหน้าผาเอ็นพีแอล หรือ NPLs Cliff ซึ่งจะกลายเป็นความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจไทย เพราะแม้สถานการณ์ลูกค้าโดยรวมดีขึ้น จากช่วงที่วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรง แต่มีกลุ่มที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ต้องได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการจำนวนมาก
ปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับธนาคารในภูมิภาค ธนาคารพาณิชย์ไทยยังเผชิญความท้าทายในด้านการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับต่ำกว่า และฟื้นตัวช้ากว่าในภูมิภาค
ดังนั้น การรักษาระดับความแข็งแกร่ง และสร้างความเชื่อมั่นในระบบธนาคารพาณิชย์ จึงมีความสำคัญ เพื่อให้ระบบธนาคารสามารถดูแลลูกค้ากลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่อยู่ระหว่างการปรับตัว ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อย รวมถึงหนี้ภาคครัวเรือน ได้ พร้อมทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของลูกค้าและเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ภาคธนาคารเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ การที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จำเป็นต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน โดยภาคการท่องเที่ยวและมาตรการภาครัฐจะเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี การท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องหลังยกเลิกมาตรการ Thailand Pass การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี อีกทั้ง ยังมีแรงหนุนกำลังซื้อจากมาตรการภาครัฐและภาคเอกชน ช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการทั่วไป เพื่อให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน และมาตรการเฉพาะ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด
โดยเดือน ก.ค. 63 ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าร่วมมาตรการสูงถึง 6.1 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวม 4.2 ล้านล้านบาท หลังสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น ล่าสุด ณ เดือน พ.ค. 65 ลูกค้าภายใต้มาตรการลดลงเหลือ 1.6 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้เกือบ 2 ล้านล้านบาท มีการเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ SME ผ่านสินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ Soft loan จำนวน 3.2 แสนล้านบาท ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของระบบไม่สูงขึ้นมาก และคุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มดีขึ้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน.