สำรวจพฤติกรรมหนี้หนักอก กระจุกตัวที่อีสานตะวันออก

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

สำรวจพฤติกรรมหนี้หนักอก กระจุกตัวที่อีสานตะวันออก

Date Time: 9 ก.ย. 2563 08:10 น.

Summary

  • สำรวจพฤติกรรมการรับความช่วยเหลือเรื่องหนี้ของคนไทย พบส่วนใหญ่เลือกขอ “พักหนี้” มากที่สุด และกระจุกตัวในภาคอีสานตะวันออกเป็นอันดับ 1 โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบ้าน

Latest

เงินเข้าไว ออกไว  เริ่มเครียด นอนไม่หลับ  สังเกต 5 สัญญาณอันตราย  ที่เราใกล้จะเผชิญปัญหา “หนี้เสีย

สำรวจพฤติกรรมการรับความช่วยเหลือเรื่องหนี้ของคนไทย พบส่วนใหญ่เลือกขอ “พักหนี้” มากที่สุด และกระจุกตัวในภาคอีสานตะวันออกเป็นอันดับ 1 โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบ้าน ขณะที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือตอนบน และภาคใต้ มีสินเชื่อที่เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสียสูงกว่าพื้นที่อื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกบทวิจัยเรื่อง “เจาะความท้าทายใหม่ของหนี้ครัวเรือนไทยในวิกฤติโควิด-19 จากข้อมูลสินเชื่อที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือ” ซึ่งทำการวิจัยนำโดยนางโสมรัศมิ์ จันทรัตน์ หัวหน้านักวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วยฯ และคณะทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ระบุว่าหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยในหลายปีที่ผ่านมา โดยกว่าหนึ่งในสามของคนไทยมีภาระหนี้สูง และส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)

คนไทยมีหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย มีหนี้นานตั้งแต่เริ่มทำงานจนเลยวัยเกษียณ และ 84% ของครัวเรือนไทยพึ่งพาหนี้ทั้งจากสถาบันการเงินในระบบและนอกระบบเป็นสัดส่วนสูง โดยภาระหนี้ที่สูงกลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งการอุปโภคบริโภคและการลงทุน ทำให้ครัวเรือนไทยขาดภูมิคุ้มกันต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่วิกฤติโควิด-19 ซึ่งส่งผลทำให้ครัวเรือนจำนวนมากมีปัญหาการชำระหนี้เพิ่มขึ้น

งานวิจัยนี้ได้ศึกษาคุณลักษณะของบัญชีและผู้กู้ที่เข้ามาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นมากว่า 8.1 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ทั้งหมด 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งผู้วิจัยได้สร้างสมมติฐานเพื่อแยกแยะบัญชีดังกล่าวจากฐานข้อมูลเชิงสถิติจากเครดิตบูโรที่ครอบคลุมสินเชื่อรายย่อยจากสถาบันการเงิน 102 แห่ง พบว่าสินเชื่อส่วนใหญ่ (59.7%) เข้ามาตรการในเดือน เม.ย. ขณะที่ 42.4% เข้ามาตรการครบ 3 เดือนจนถึงเดือน มิ.ย. และมีบัญชีกว่า 16.6% ที่เข้ามาตรการแล้วออกไปก่อนครบ 3 เดือน แสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่ไม่เท่ากันของผู้กู้แต่ละกลุ่ม

นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาลักษณะการเข้ามาตรการพบว่า 70.5% เป็นการเลื่อนชำระ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงการมีปัญหาในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในวงกว้าง โดย 25.8% เป็นการลดอัตราการชำระ และ 3.7% เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสีย (ปรับโครงสร้างหนี้-คลินิกแก้หนี้) โดยผู้กู้ส่วนใหญ่ (76.1%) มีสินเชื่อเข้ามาตรการเพียง 1 บัญชี แต่ก็มีผู้กู้อีก 7.3% ที่เข้ามากกว่า 2 บัญชีและอีก 4.9% ได้ขอสินเชื่อใหม่เพื่อเป็นสภาพคล่องฉุกเฉิน

และยังพบว่าสินเชื่อที่เข้ามาตรการช่วยเหลือมีลักษณะกระจุกตัวทำให้บางพื้นที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในภาคอีสานตะวันออกที่มีสัดส่วนสินเชื่อเข้ามาตรการ 40-60% ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบ้าน ส่วนกรุงเทพฯปริมณฑล ภาคใต้และภาคเหนือตอนบน มีสัดส่วนสินเชื่อที่เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสียสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ

ทั้งนี้ ยังพบว่าผู้กู้ที่เข้ามาตรการจะมีมูลหนี้และจำนวนบัญชีสินเชื่อในพอร์ตสูงกว่าผู้กู้ที่ไม่ได้เข้ามาตรการช่วยเหลือ โดยผู้กู้ที่เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสียมีภาระหนี้เฉลี่ย 1.7 ล้านบาทจาก 6 บัญชี รองลงมาคือผู้กู้ที่เลื่อนชำระ มีมูลหนี้เฉลี่ย 0.9 ล้านบาทจาก 6 บัญชี และผู้กู้ที่ลดอัตราการชำระ มีมูลหนี้เฉลี่ย 1.1 ล้านบาทจาก 5 บัญชี

โดยข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในวงกว้างและความแตกต่างของความเปราะบางทั้งในระดับผู้กู้ พื้นที่ และสถาบันการเงิน เมื่อมาตรการช่วยเหลือระยะแรกๆได้สิ้นสุดลง และสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของนโยบายแก้หนี้ในอนาคต ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการมุ่งเป้าความช่วยเหลือ การบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อในเชิงรุกเพื่อป้องปรามไม่ให้บัญชีหนี้ดีจำนวนมากกลายเป็นหนี้เสียจนแก้ไขได้ยาก.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ