“อภิศักดิ์” ลุ้นโครงการรัฐ-พักหนี้เกษตรช่วยหนุน
“อภิศักดิ์” ยัน 11 ปี ประเทศไทยหลุดพ้นความยากจน ถ้าจีดีพีโต 5% ต่อเนื่อง แต่ยอมรับยอดหนี้สาธารณะจ่อพุ่ง คาดอีก 4 ปีข้างหน้ายอดต่อจีดีพีสูงสุดที่ 48% หลังรัฐแห่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่จ่อชง ครม.สิ้นเดือนนี้ พักหนี้เกษตรกร เพื่อช่วยลดภาระเงินต้น–ดอกเบี้ย ช่วงเปลี่ยนผ่านปฏิรูปภาคเกษตร หวังเศรษฐกิจไทยฟื้นได้ต่อเนื่อง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยในงานปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง” ว่า เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจประเทศ ไทยครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2561-2562 รัฐบาลจะยังใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณ 450,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งรัฐเน้นการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่กระทรวงการคลังจะดูแลภาระหนี้สินด้วย โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ 40.4% หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท แต่ในอีก 4 ปีข้างหน้า หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปสูงสุดที่ 48% หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท จากการที่รัฐทยอยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ดีหนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี
สำหรับการจัดทำงบประมาณสมดุลนั้น คาดว่าจะใช้เวลา 11 ปี บนสมมติฐานที่จีดีพีของไทยเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% รวมทั้งการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังได้มีการขยายฐานภาษี เพื่อดึงผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มขึ้น
“การพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนได้จึงเป็นที่มาของ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งจะทำให้จีดีพีของประเทศอาจเติบโตมากกว่าระดับ 4-5% ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเน้นการวางโครงสร้างดิจิทัลทางการเงิน จึงเกิดพร้อมเพย์ และต่อมาก็มีระบบคิวอาร์โค้ด รวมทั้งการลงทุนในโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะเป็นส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อได้อีก 10 ปีข้างหน้า เพราะประเทศไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น”
ทั้งนี้ ในระยะต่อไปกระทรวงการคลังจะดำเนินการเรื่อง Digital ID ที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปแสดงตนด้วยตัวเอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างกฎหมาย และกำลังจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติดำเนินการต่อไป
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีโจทย์ที่จะให้ไทยเป็นประเทศที่พ้นความยากจน หรือเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งมีการทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีเป้าหมายว่า ประเทศไทย หากจะพ้นความยากจนได้ เศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตเฉลี่ยปีละ 4% คาดจะใช้เวลาประมาณ 18 ปี แต่หากเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ก็จะใช้เวลาประมาณ 11 ปี ที่จะพ้นจากความยากจน ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ คือ ผลักดันให้เศรษฐ– กิจไทยเติบโตสูงที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้สูง ประเทศ ไทยถึงจะพ้นจากความยากจนได้ และต้องปฏิรูปกันอย่างจริงจัง
ส่วนกรณีธนาคารโลกที่ประเมินว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประมาณ 0.5% จากที่คาดการณ์ว่าปีนี้จะเติบโต 3.5% นั้น ในส่วนของประเทศไทยคาดว่าจะได้รับผลกระทบไม่มาก
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สิ้นเดือน ก.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พักชำระหนี้เงินต้นให้แก่เกษตรกรลูกค้าของ ธ.ก.ส.ระยะเวลา 3 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยรัฐบาลจะช่วยเหลือด้วยการรับภาระดอกเบี้ยแทนเกษตรกร 2-3% เพื่อให้เกษตรกรสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการปลูกพืชแบบดั้งเดิมไปสู่การปลูกพืชชนิดใหม่ หรือวิธีการปลูกแบบใหม่ๆ เช่น การรวมตัวของเกษตรกรในการปลูกพืชบนที่ดินแปลงใหญ่ ที่ช่วยลดต้นทุนได้ถึง 50%
“ในช่วงที่เกษตรกรพักชำระหนี้ หากมีโครงการลงทุนใหม่ๆ หรือโครงการที่รัฐบาลสนับสนุน ก็สามารถกู้เงินจาก ธ.ก.ส.ได้ เพราะเป็นการปรับปรุง คุณภาพการผลิต หรือเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น แต่หากจะกู้เงินเพื่อไปเพาะปลูกพืชแบบเดิมๆ ก็จะไม่มีการปล่อยกู้ให้แต่อย่างใด”
สำหรับโครงการพักชำระหนี้ ครั้งนี้จะเป็น กว้างแบบสมัครใจ คาดว่าจะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประมาณ 2-3 ล้านราย โดยในช่วงที่เกษตรกรขอพักชำระหนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ จะมีการปฏิรูปภาคการเกษตร ซึ่งจะเพิ่มรายได้
ให้แก่เกษตรกรที่มีอยู่ประมาณ 30 ล้านคน ซึ่งถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ.