รองผู้ว่าการ ธปท.และคณะกรรมการ กนง.ระบุ 3 ความท้าทายนโยบายการเงินปี 61 เร่งขยายฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้กว้างขึ้น มองปีนี้ถึงเวลา “ถอนยา” ขึ้นดอกเบี้ยปรับนโยบายจากผ่อนคลายสู่ปกติ โดยจะส่งสัญญาณล่วงหน้าให้ทุกฝ่ายปรับตัว รวมถึงปล่อยเงินทุนไหลออกมากขึ้น ปีนี้ไทยโตไม่ต่ำกว่า 4%
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ 1 ในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวถึงความท้าทายของการดำเนินนโยบายการเงินปี 61 ในวารสารพระสยามว่า หลังวิกฤติการเงินโลกและประเทศอุตสาหกรรมหลัก เมื่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเริ่มลดน้อยลง ทำให้เห็นการทยอยถอนยา โดยขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และลดอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalize) ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้กำหนดนโยบายว่า จะดำเนินการในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรง (Soft Landing) ได้อย่างไร
“ถ้าถอนยาเร็วเกินไป ก็อาจจะมีผลกระทบต่อแรงส่งของการฟื้นตัวทำให้เศรษฐกิจสะดุดได้ แต่ถ้าทำช้าเกินไปก็อาจมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและความไม่สมดุลทางการเงิน เช่น การกู้หนี้ยืมสินที่สูงเกินไป การเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆ ส่งผลเสียต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว ที่สำคัญการถอนยาต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมในตลาดการเงิน เพราะถ้าทำอย่างกะทันหัน หรือไม่ได้สื่อสารล่วงหน้า ปฏิกิริยาในตลาดอาจจะรุนแรงนำไปสู่ความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยระยะยาว และราคาหลักทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน”
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ปลายปี 2558 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยส่งสัญญาณให้ตลาดรับรู้ล่วงหน้า และในปี 2561 ตลาดคาดว่าเฟดจะปรับดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 3 ครั้ง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปก็เริ่มลดปริมาณพันธบัตรที่ซื้อลง แต่ปีนี้อาจยังไม่เห็นการปรับดอกเบี้ย ส่วนภูมิภาคเอเชีย ธนาคารกลางเกาหลีใต้ขยับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อปลายปีที่แล้ว ตามด้วยธนาคารกลางมาเลเซียเมื่อต้นปีนี้
“มีคำถามว่า ประเทศอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ปรับดอกเบี้ยขึ้นเป็นลำดับ และปีนี้ก็จะปรับอีก เราต้องปรับดอกเบี้ยตามหรือไม่ เราพูดเสมอว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินไทยมีไว้เพื่อดูแลเศรษฐกิจไทย ไม่จำเป็นต้องปรับตามสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ แนวโน้มเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินของไทยเป็นหลัก”
แต่อย่างไรก็ตาม นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ภาวะเศรษฐกิจการเงินของไทยในขณะนี้ มีปัญหาทั้งจากเศรษฐกิจภายนอก และเศรษฐกิจภายในของเราเองที่จะต้องใช้เวลาในการแก้ไข แต่ภาพรวมถือว่าน่าพอใจโดยรวม น่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออก การท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับที่ต่ำและกำลังปรับตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมายของ กนง. เสถียรภาพระบบการเงินก็ถือว่ายังดีอยู่ แม้ว่าจะมีจุดเปราะบางในบางประเด็นจากการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำเป็นเวลานาน และสภาพคล่องที่สูงอยู่ในระบบ รวมทั้งมีปัญหาหลายๆ อย่าง เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูง การออมของประชาชนที่ลดน้อยลง การแสงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทั้งประชาชน เอกชน และสถาบันการเงินบางประเภทโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงอย่างเพียงพอ
“ในขณะที่ความท้าทายของการดำเนินนโยบายการเงิน ในฐานะที่เป็นกรรมการ 1 คนใน 7 คน ผมว่าในปีนี้มีความท้าทายสูงมาก โดยในความเห็นส่วนตัว คิดว่ามี 3 เรื่องที่สำคัญ เรื่องที่ 1 จะทำอย่างไรเรารักษาการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจให้ต่อเนื่อง ด้วยการขยายฐานของการเติบโตให้กว้างขึ้น ทั้งในการด้านการลงทุนของภาคเอกชน และการบริโภคในประเทศให้มีกำลังมากขึ้น เรื่องที่ 2 คือ ปีนี้น่าจะเป็นปีที่จะต้องพิจารณาเงื่อนไข และกรอบเวลาที่เหมาะสมในการปรับนโยบายการเงิน ปรับภาวะการเงิน และนโยบายดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะที่เป็นปกติมากขึ้น รวมทั้งการส่งสัญญาณล่วงหน้าในเรื่องนโยบายในการปรับตัวของทุกภาคส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อแรงส่งทางเศรษฐกิจ
ขณะที่เรื่องที่ 3 ที่มีความสำคัญต่อเนื่อง คือ การจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาท โดยจะต้องทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น ทั้งด้านราคา คือ อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะต้องปรับให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐาน และด้านปริมาณ ซึ่งจะต้องปรับนโยบาย หลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนมีความสมดุลมากขึ้น โดยการเร่งให้ประชาชนออกไปลงทุนทางการเงินในต่างประเทศได้มากขึ้น และผู้ประกอบการสามารถเก็บเงินตราต่างประเทศไว้ในต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประเด็นที่ กนง.จะให้ความสำคัญเชิงนโยบายในปีนี้.