เมื่อเงินมีผลกับความรัก เปิดเทคนิค “คนมีคู่” บริหารเงินอย่างไร ไม่ให้บ้านแตก

Investment

Wealth Management

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เมื่อเงินมีผลกับความรัก เปิดเทคนิค “คนมีคู่” บริหารเงินอย่างไร ไม่ให้บ้านแตก

Date Time: 12 ก.พ. 2568 10:00 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

Thairath Money สรุปทริควางแผนการเงินสำหรับคนมีคู่ เริ่มต้นอย่างไร ตั้งแต่การออม ไปจนถึงการจัดการหนี้ บริหารเงินอย่างไรไม่ให้บ้านแตก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุกช่วงของชีวิต มักมีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลตอนเกิด ค่าเทอมตั้งแต่อนุบาล-มหาวิทยาลัย เงินออมเพื่อปรนเปรอความสุขส่วนตัว กู้เงินเพื่อซื้อบ้าน หมุนเงินทำธุรกิจ จ่ายภาษีประจำปี ตลอดจนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ก็ต้องมีการ “วางแผนการเงิน” ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อแต่งงานแล้ว เรื่องเงินจะไม่ใช่แค่เรื่อง “ส่วนตัว” อีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องส่วนรวม ระหว่าง “คู่รัก” ที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน และเป็นเครื่องพิสูจน์อายุของความสัมพันธ์ ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้

Thairath Money สรุปทริควางแผนการเงินสำหรับคนมีคู่ เริ่มต้นอย่างไร ตั้งแต่การออม ไปจนถึงการจัดการหนี้ บริหารเงินอย่างไรไม่ให้บ้านแตก

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เสนอแนวคิดพื้นฐานการจัดการเงินสำหรับคนมีคู่ 4 ข้อดังนี้

1. เปิดใจคุยเรื่องเงินกันแต่เนิ่น ๆ ทั้งเรื่องทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระอื่น ๆ ตกลงวิธีจัดการเงินว่าจะแยกหรือรวม หรือแยกครึ่งรวมครึ่ง เพราะทรัพย์สินที่หามาได้หลังจากการจดทะเบียนสมรสจะกลายเป็นสินสมรส คือมีความเป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์สินนั่นเอง
2. เลือกวิธีที่เหมาะสมและทำได้ (ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับทุกครอบครัว)
3. ทำตามกติกาที่ตั้งไว้อย่างมีวินัย
4. หากรู้สึกกดดันหรือทำตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้ ให้เปิดใจคุยกันใหม่

หลังจากที่เปิดอกคุยและตัดสินใจวางเป้าหมายร่วมกันแล้ว สเต็ปต่อไปที่ต้องทำก็คือการวางแผนการใช้เงิน (budget planner) คาดการณ์รายรับ รายจ่ายที่จะเกิดขึ้น เพื่อจัดสรรเงินให้พอใช้ โดยสามารถทำแผนการใช้เงินได้ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน โดยแผนการใช้เงินประกอบด้วย 1. ข้อมูลรายรับ 2. ข้อมูลรายจ่าย 3. ส่วนเปรียบเทียบรายรับและรายจ่าย

1. บันทึกรายรับ
เริ่มจากการบันทึกรายรับหรือคาดว่าจะได้รับของแต่ละคน โดยแจกแจงตามแหล่งที่มาว่าเป็นลักษณะของ Passive Income หรือ Active Income เช่น เงินเดือน เงินปันผลจากการลงทุน การเช็กแหล่งรายได้ที่เข้ามาในแต่ละเดือน จะช่วยประเมินกระแสเงินสดที่จะเข้ามาในครอบครัวว่า มีเพียงพอกับการดูแลค่าใช้จ่าย และภาระต่าง ๆ ของทั้ง 2 คน หรือเป้าหมายที่กำลังจะมีร่วมกันในอนาคตหรือไม่

2. บันทึกรายจ่าย
บันทึกรายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายจากการชำระหนี้ และรายจ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน เช่น ค่าดูแลรักษารถ ค่าเทอมลูก ค่าประกันพ่อแม่ รวมถึงเงินออมต่าง ๆ ก็ถือเป็นรายจ่ายเช่นกัน เพราะเป็นรายการที่ทำให้เงินออกจากกระเป๋าในเดือนนั้น ๆ

3. เปรียบเทียบรายรับและรายจ่าย
นำช่องรายรับและรายจ่ายมาเปรียบเทียบกันว่ารายรับมากกว่า เท่ากับ หรือน้อยกว่ารายจ่าย ถ้ารายรับมากกว่ารายจ่ายสามารถนำมาเป็นแผนใช้เงินได้

เมื่อเรารู้กระแสสภาพคล่องแต่ละเดือน พร้อมมีแผนการใช้เงินรองรับ สิ่งต่อไปที่ต้องมีคือเป้าหมายการออมเงิน เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือต่อยอดความมั่งคั่งให้กับครอบครัว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้สรุปบัญชีครอบครัว 5 ประเภทที่ต้องมี เพื่ออุดรอยรั่วการเงินในครอบครัว มีเงินเหลือไปลงทุนต่อยอดความมั่งคั่ง ป้องกันปัญหาบ้านแตก

1. บัญชีกองกลางของครอบครัว

เริ่มจากจัดทำประมาณการรายจ่ายของครอบครัวในแต่ละเดือนว่าจะมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางอะไรบ้าง เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถยนต์ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายจิปาถะ เพื่อที่จะกำหนดว่าใครจะต้องออกค่าใช้จ่ายอย่างไร และเปิดบัญชีกองกลางขึ้นมาเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

2. บัญชีเงินออมและสำรองเผื่อฉุกเฉิน

ควรสำรองเงินเป็นหลักประกันของครอบครัว โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัวอย่างน้อย 3-6 เดือน ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเมื่อพบเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือเรื่องเร่งด่วน เช่น ตกงาน เจ็บป่วย อุบัติเหตุ ซ่อมแซมบ้านหรือรถยนต์ เป็นต้น ทางที่ดีควรเก็บเงินส่วนนี้ไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือกองทุนตราสารเงินซึ่งมีสภาพคล่องสูง สามารถถอนออกมาใช้ได้ภายใน 1-2 วัน

3. บัญชีการลงทุนของครอบครัว

จัดสรรเงินออมอย่างน้อย 10% ของเงินเดือน มาต่อยอดสร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัว ด้วยการสร้างบัญชีลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนรวมต่าง ๆ หรือหุ้น เพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวให้แก่ครอบครัว

4. บัญชีอนาคตเพื่อลูกน้อย

เริ่มจากการคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น ข้าวของเครื่องใช้ ค่าอาหารเด็ก ของเล่น พี่เลี้ยงเด็ก รวมถึงค่าใช้จ่ายในการศึกษาในระดับสูงสุดที่ต้องการ โดยอาจพิจารณาทางเลือกการออมและการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากประจำหรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ได้รับเงินคืนแน่นอนตามที่กำหนดไว้ หรือหากรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นหรือหุ้น เพื่อสร้างโอกาสให้เงินเติบโตในระยะยาวไปพร้อมกับลูกน้อยของเรา

5. บัญชีส่วนตัวเพื่อใช้จ่าย

แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตัวเองชอบ มีความฝันที่อยากทำ และมีไลฟ์สไตล์ที่เป็นของตัวเอง จึงควรแยกบัญชีที่ใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นการชอปปิง ซื้อของสะสม หรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูงด้วย


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ