
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" ที่ 135.73
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยระบุว่า แม้ว่านักลงทุนจะยังคงเผชิญความยากลำบากและความผันผวนในตลาด แต่ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าคงอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง"
ปัจจัยบวกหลักมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและส่งออก รวมถึงเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น จากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าคงอยู่ในเกณฑ์"ร้อนแรง" ที่ระดับ 135.73 ปรับเพิ่มขึ้นจากในช่วงกลางปีที่ดัชนีเคยอยู่ในภาวะซบเซาเนื่องจากความกังวลด้านการเมืองและปัญหาชายแดน
ความเชื่อมั่นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มาจากนักลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น นักลงทุนรายย่อย กลุ่มนักลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ สถาบันในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศ
โดยปัจจัยหนุนความเชื่อมั่น มองว่ามาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่าง โครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งใช้ของเดิมที่มีอยู่แล้วทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมอีกหลายมาตรการในอนาคต
นอกจากนี้ นักลงทุนมองเห็นโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการคาดการณ์เรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายในการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งด้วย
ส่วนปัจจัยลบที่นักลงทุนกังวลมากที่สุดคือ สถานการณ์ความขัดแย้งและสงคราม ตามมาด้วยเรื่องของสงครามการค้า และความผันผวนของค่าเงินบาท รวมถึงความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับยูโรโซน
สำหรับหุ้นในกลุ่มที่นักลงทุนสนใจมากที่สุด ได้แก่ หมวดพาณิชย์ ซึ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะ ในขณะที่นักลงทุนไทยยังคงสนใจ ภาคธนาคารอยู่ รองลงมาคือกลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้คาดการณ์ว่า ไตรมาส 4/2566 เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 0.7-1.0% ซึ่งดีกว่าการคาดเดิมที่ 0.3% สำหรับปี 2568 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ 1.5–2% จากความหวังจากภาคการท่องเที่ยวและภาคส่งออกที่ดีขึ้น
และอีกปัจจัยที่สำคัญคือเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดย BOI รายงานตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุน 9 เดือนแรก อยู่ที่เกือบ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดรวมทั้งปีของปีที่แล้วที่ 1.13 ล้านล้านบาท คาดว่าสิ้นปี FDI จะอยู่ที่ประมาณ 1.7-1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 80-90% จากปีก่อน
ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า ตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมาถือว่า "ไม่ขี้เหร่" เฉพาะในเดือนตุลาคมที่บวกขึ้นมาประมาณ 3% ซึ่งสร้างความชื่นใจแก่นักลงทุน แม้ภาพรวมทั้งปียังคงติดลบอยู่ที่ 6.5% ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ตกต่ำที่สุดในโลก
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงหลังมานี้เริ่มเงินทุนเริ่มไหลออกน้อยลง โดยในเดือนตุลาคม เงินไหลออกเพียง 4,000 ล้านบาท เมื่อพิจารณาทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ พบว่าตลาดทุนไทยมีเงินไหลเข้าสุทธิรวมกันเกือบ 35,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย มองว่ามีโอกาสที่จะเห็น "อัพไซด์" ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และปัญหาชัตดาวน์ในสหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับการคลี่คลาย
โมเมนตัมเชิงบวกจากตลาดโลกที่กำลังปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลมายังตลาดหุ้นไทย สิ่งที่ต้องจับตาคือความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งในเดือนธันวาคม ซึ่งจะส่งผลให้สภาพคล่องจำนวนมากหลั่งไหลเข้าลงทุนในตลาดสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตลาดทุน
สำหรับปัจจัยในประเทศ ดร.กอบศักดิ์ มองว่า หากรัฐบาลสามารถดำเนินการตามไทม์ไลน์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งตามกำหนด ก็จะช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนให้ตลาดมีอัพไซด์ได้ โดยมองว่าดัชนี SET Index น่าจะสามารถทำผลงานได้ดีกว่าประมาณการที่ IAA ให้ไว้ที่ 1,313 จุดในปีนี้ และ 1,400 จุดในปี 2569
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้