หุ้น KBANK น่าเก็บแค่ไหน ? ทำไม GULF ซื้อเพิ่ม จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือเกิน 5% อีกครั้ง

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้น KBANK น่าเก็บแค่ไหน ? ทำไม GULF ซื้อเพิ่ม จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือเกิน 5% อีกครั้ง

Date Time: 16 ต.ค. 2568 10:57 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

GULF เดินหน้าทยอยซื้อหุ้น KBANK เพิ่ม จนปัจจุบันถือหุ้น 5.0288% ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 แม้นักวิเคราะห์มองว่ากำไรของ KBANK อาจอ่อนตัวในระยะสั้น แต่ยังน่าซื้อ เพราะ "เงินปันผล" คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 6% ต่อปี

Latest


เกาะติดความเคลื่อนไหวของ GULF ยักษ์ใหญ่แห่งวงการพลังงาน ที่เดินหน้าทยอยเก็บหุ้น KBANK จนกลับมามีสัดส่วนการถือครองเกิน 5% อีกครั้ง แม้นักวิเคราะห์จะคาดว่ากำไรอาจลดลงในระยะสั้น

ในอีกมุมหนึ่ง นักวิเคราะห์ยังคงแนะนำ "ซื้อ" โดยชี้ไปที่ปัจจัยสำคัญอย่าง "เงินปันผล" ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 6% ต่อปี ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจอย่างมากในภาวะตลาดปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างจับตาว่าเบื้องหลังการเข้าลงทุนของ GULF ครั้งนี้ ที่แจ้งว่าเป็นเพียงการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนทางการเงินนั้น อาจมีนัยที่ซับซ้อนกว่าที่เห็นหรือไม่ เพราะการเคลื่อนไหวนี้ชวนให้นึกถึงการเข้าซื้อกิจการ INTUCH จนสามารถขยายอาณาจักรจากธุรกิจพลังงานข้ามมาสู่โลกโทรคมนาคมและดิจิทัลได้สำเร็จ


ย้อนรอย GULF ลงทุนหุ้น KBANK

ล่าสุด บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้เข้าซื้อหุ้นธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เพิ่มเติมอีก โดยแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าวันที่ 14 ตุลาคม 2568 GULF ได้เข้าซื้อหุ้น KBANK เพิ่มเติมจำนวน 5,399,600 หุ้น หรือคิดเป็น 0.2278%

ส่งผลให้ GULF ถือหุ้นใน KBANK ทั้งสิ้น 119,149,900 หุ้น หรือ 5.0288% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 4 ของธนาคาร

หากย้อนดูเส้นทางการเข้าลงทุนของ GULF ใน KBANK ที่ผ่านมา จะพบว่าก่อนหน้านี้ GULF ได้เข้าถือหุ้นใน KBANK เป็นครั้งแรกในสัดส่วน 3.25% เมื่อเดือนมีนาคม 2568

และเคยถือหุ้นในสัดส่วนเกิน 5% มาแล้ว ในเดือนพฤษภาคม GULF หลังได้เข้าซื้อหุ้น KBANK เพิ่ม 12.51 ล้านหุ้น หรือ 0.53% ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 5.23%

อย่างไรก็ดี มีช่วงหนึ่งที่ GULF ได้ปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นใน KBANK ลงให้ต่ำกว่า 5% ซึ่งนักวิเคราะห์ฯ มองว่าเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เนื่องจากการถือหุ้นเกิน 5% จะทำให้ถูกจัดว่าเป็นกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีข้อจำกัดในเรื่องวงเงินสินเชื่อ

ในมุมของ GULF ได้เคยแจ้งว่าการเข้าถือหุ้นใน KBANK นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขายและรับเงินปันผล อย่างไรก็ดี การทยอยเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดได้กลับมาถือหุ้นเกิน 5% อีกครั้ง เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในแวดวงการลงทุน


KBANK น่าเก็บขนาดไหน ?

ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯ ยังมองว่า KBANK เป็นหุ้นที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากเงินปันผล แม้จะต้องเผชิญกับผลประกอบการที่อ่อนตัวลงในระยะสั้นก็ตาม

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่ากำไรสุทธิของ KBANK ในไตรมาสที่ 3/2568 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอยู่ที่ประมาณ 11,208 ล้านบาท ซึ่งลดลงทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจัยกดดันหลักมาจากการคาดการณ์ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะลดลงตามต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ประกอบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกำไรจากเงินลงทุนและเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ

ซึ่งแนวโน้มการอ่อนตัวของกำไรนี้คาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/2568 ตามปัจจัยฤดูกาลด้านค่าใช้จ่ายที่มักจะสูงขึ้นในช่วงปลายปี

แม้ว่าแนวโน้มกำไรในระยะสั้นจะเผชิญกับความท้าทาย บล.ทรีนีตี้ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับหุ้น KBANK โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจาก "เงินปันผลที่น่าสนใจ" ซึ่งคาดการณ์ว่าจะให้อัตราผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึงประมาณ 6% ต่อปี โดยให้ราคาเป้าหมายในปี 2569 ที่ 182 บาท

ด้าน บล.กรุงศรี ระบุว่า หุ้นกลุ่มธนาคารของไทย โดยเฉพาะ BBL, KBANK และ TISCO ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ หลังจากกลุ่มธนาคารในสหรัฐอเมริกาประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีให้กับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังได้อานิสงส์จากจิตวิทยาบวกจาก TISCO ที่ได้ประกาศงบไตรมาส 3/2568 ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งนักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี มีมุมมองเป็น "บวกเล็กน้อย" ต่อผลประกอบการดังกล่าว การผสานกันของปัจจัยบวกทั้งสองนี้ จึงเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารด้วย


GULF ขยายอาณาจักรข้ามอุตสาหกรรม

GULF ได้ขยายอาณาจักรการลงทุนสู่ธุรกิจอื่นอย่างต่อเนื่อง โดยใช้กลยุทธ์หลักในการต่อยอดจากฐานธุรกิจเดิมที่แข็งแกร่ง ไปสู่การลงทุนใน "โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ"

ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็น มีรายได้สม่ำเสมอ และมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยอาศัยกระแสเงินสดจำนวนมหาศาลจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นหัวหอกในการขยายธุรกิจ

จุดเปลี่ยนที่ชัดเจนที่สุดคือการเข้าลงทุนใน บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ซึ่งทำให้ GULF กลายเป็นผู้มีอำนาจควบคุมใน AIS ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออันดับหนึ่งของไทย

การลงทุนครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การซื้อกิจการเพื่อรับเงินปันผล แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อรุกเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มตัว อย่างไรก็ดี รูปแบบการลงทุนนี้ ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทยอยเข้าซื้อหุ้น KBANK อย่างต่อเนื่อง ซึ่งใช้กลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน

แม้ในเบื้องต้น GULF จะระบุว่าเป็นการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนทางการเงิน แต่ในภาพใหญ่ก็อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นวางตำแหน่งตัวเองในโลกการเงินยุคใหม่ โดยเฉพาะบริการด้านฟินเทค (FinTech) และธนาคารเสมือน (Virtual Bank) ที่มีพันธมิตรครบวงจรหรือไม่


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ