ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 ธ.ค.62 ปิดที่ 1,565.45 จุด ลดลง 2.18 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 45,085.83 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,248.98 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 147 บาท ลบ 5 บาท, PTT ปิด 42.25 บาท บวก 0.50 บาท, AOT ปิด 74.75 บาท บวก 0.50 บาท, ADVANC ปิด 214 บาท บวก 3 บาท และ IVL ปิด 32 บาท ลบ 1.75 บาท
ตลาดหุ้นยังคงถูกกดดันจากสถานการณ์สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศก็ยังส่งสัญญาณไม่สดใส กดดันให้เกิดแรงขายหุ้นใหญ่ออกมาต่อเนื่อง ขณะที่ต่างชาติยังคงเดินหน้าขายหุ้นไทย
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย เกี่ยวกับกองทุนเพื่อการออมระยะยาวรูปแบบใหม่ (SSF) แทน LTF ที่กำหนดลงทุน 10 ปี นั้น บล.เอเซียพลัสระบุว่า ความชัดเจนของรูปแบบ SSF จะช่วยหนุนเม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นช่วงเวลาที่เหลือของเดือนนี้ให้กลับมาดีขึ้น คาดว่าเม็ดเงินจาก LTF และ RMF จะไหลเข้าตลาดเดือนนี้ ราว 2 หมื่นล้านบาท และ 1 หมื่นล้านบาทตามลำดับ
ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ คือ หุ้นใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นเป้าลงทุนเม็ดเงิน LTF & RMF และหุ้นปันผลดีขนาดใหญ่ใน SETHD หุ้นเด่นที่เอเซียพลัสแนะนำเดือน ธ.ค. คือ AP, CPALL, KKP, MINT, SCB, SCC และ VGI
ทั้งนี้ สรุปผลของกองทุน SSF คือ คาดว่ายังมีแรงซื้อสุทธิ LTF ในปี 62F อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท แม้อาจลดลงบ้างในช่วงที่เหลือของปี แต่ในปี 63-64 ยังได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากไม่มีแรงขายคืน LTF แต่แรงซื้อสนับสนุนน่าจะไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท และจะเผชิญแรงขายสุทธิหนักไปในปี 65 ราว 4.5 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ความเสี่ยงเม็ดเงินพร้อมขายจากยอดคงค้างในกองทุน LTF ที่มีกว่า 1.8 แสนล้านบาท และที่สำคัญยังมีเม็ดเงินลงทุนที่ครบกำหนดอายุ (ปี 2547-58) แต่ยังไม่ได้ขายเกินกว่า 1.8 แสนล้านบาท ที่ถือครองโดยกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว แต่ก็พร้อมที่จะขายออกมา หากปัจจัยแวดล้อมทางการลงทุนไม่เอื้ออำนวย ถือเป็นแรงกดดันอีกทางหนึ่งต่อตลาดหุ้นไทยในปี 63
สรุปคือ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าแรงขับเคลื่อนตลาดจากเม็ดเงิน LTF ที่หายไปพอสมควร กดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซื้อขายบน P/E ที่ไม่สูงมากนักเหมือนในอดีต ส่งผลให้จำกัดการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย SET Index ในปี 63 มีโอกาสลดลง!!
อินเด็กซ์ 51