
บล.ทิสโก้ ชี้ การเมืองไทยชัดมีเลือกตั้งปี 61 หนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหุ้นไทยกว่า 1.2 แสนล้านบาท มองดัชนีฯ หุ้นไทย ปลายปีแตะ 1,700 จุด ได้แรงซื้อกองทุน LTF และเศรษฐกิจหนุน ชี้ปีหน้าอาจเห็นนิวไฮ 1,800 จุด
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่เริ่มมีความชัดเจน และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 60 ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนมั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในเดือน ส.ค. 61 อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติยังถือครองหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต จึงประเมินว่าตั้งแต่เดือน ก.ย. 60 - ส.ค. 61 จะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปี 2561 ไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1,800 จุดได้
ขณะที่ ดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2560 ยังมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2560 ไว้ที่ 1,700 จุด ด้วยระดับ Forward Price To Earnings (Forward P/E) ที่ 16.5 เท่า ซึ่งถือว่าแพงเมื่อเทียบกับอดีต แต่อยู่ในระดับที่ไม่แพงนักเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค นอกจากนี้ ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลียังส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย เป็นอีกหนึ่งตลาดที่นักลงทุนเลือกที่จะโยกเงินลงทุนจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มาหลบความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอีกด้วย
"ดัชนีหุ้นไทย จะปรับขึ้นแรงในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 เพราะมีแรงซื้อจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มาหนุน อีกทั้ง ยังได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว โดยเรายังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 ขยายตัว 3.6% และคาดว่าในปี 2561 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.8% ตามการลงทุนของภาครัฐ แต่ในเดือนกันยายน ประเมินว่าหุ้นไทยจะยังเคลื่อนไหวในรูปแบบ Sideways Up ในกรอบ 1,600-1,650 จุด"
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ มองว่านักลงทุนน่าจะใช้จังหวะนี้ในการเก็บสะสมหุ้นใหญ่ โดยตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ MAI เริ่มปรับตัวขึ้น และมีสัญญาณซื้อหลังจากดัชนีปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหุ้นเด่นสำหรับเดือนนี้แนะนำคือ ANAN, BANPU, CK, RJH, ROJNA, TCAP และ TPIPP ส่วนหุ้นขนาดกลางขนาดเล็กที่เริ่มมีสัญญาณบวกทางเทคนิค เช่น SOLAR, STA, AMA, ITD เป็นต้น
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนสถานการณ์ที่ยังต้องติดตามในช่วงนี้คือ การพิจารณากฎหมายสำคัญๆ ของสหรัฐฯ โดยมีร่างกฎหมายที่ต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน คือ 1. ร่างกฎหมายเพื่ออนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐ 2. ร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ 3. ร่างกฎหมายงบประมาณปี FY 2018 ซึ่งการพิจารณาร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายทั้ง 3 ฉบับ จะผ่านการพิจารณาได้ และกลายเป็นปัจจัยหนุน เมื่อมีกระแสข่าวการพิจารณาร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีตามมา แต่ประเมินว่าอัตราภาษีนิติบุคคลจะไม่สามารถปรับลดจนไปอยู่ที่ 15% ตามที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ หาเสียงไว้ เพราะเป็นอัตราที่ต่ำเกินไป