
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร. ได้แต่งตั้ง คณะทำงาน Zero Corruption : กกร. และเพื่อนไม่ทน ซึ่งเป็นภาคธุรกิจรวมกว่า 200,000 ราย เพื่อรวบรวมข้อเสนอจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณานำไปปฏิบัติ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นประเทศ
“คอร์รัปชันเป็นต้นทุนธุรกิจ และส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน กระทบการลงทุนของต่างชาติ เพราะทุกการจ่ายเป็นต้นทุนแฝง ทำให้นักลงทุนไม่มา ฉุดความเชื่อมั่น และความสามารถแข่งขันของประเทศ โดยในปีนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ของไทยโตแค่ 1-2% ถ้าไม่มีคอร์รัปชันอาจโตได้ 3% กว่าหรือถึง 4% ยอดจีดีพีที่หายไป ส่วนหนึ่งมาจากคอร์รัปชัน นั่นคือความเสียหาย และเสียโอกาสของประเทศ”
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้นทุนจากคอร์รัปชันฝังลึกในทุกกลไก โดยเฉพาะประมูลงานภาครัฐ ซึ่งมักจ่ายสินบนทางตรงที่อาจสูงถึง 20–30% ของมูลค่า เมื่อบวกกับระบบราชการล้าหลังและกฎหมายที่ไม่โปร่งใส เรากลายเป็นหนึ่งในฐานฟอกเงินใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และอาจติดระดับโลก หากยังมีระบบนิเวศที่ไม่โปร่งใสจะดึงดูดได้เพียงนักลงทุนสีเทา หรือสีดำ ดังนั้น ต้องส่งสัญญาณให้ชัดว่า ไทยต้อนรับเฉพาะนักลงทุนคุณภาพ ต้องกิโยตินกฎหมาย ปรับปรุงกฎระเบียบให้กระชับ โปร่งใส และตรวจสอบได้
ขณะที่นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า รูปแบบคอรัปชัน ที่เกิดมากสุด คือ การเรียกรับสินบน ซึ่งหากวัดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอร์รัปชันจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ปีละ 200,000-300,000 ล้านบาท การทิ้งโครงการก่อสร้างที่ชนะการประมูลอีกราว 100,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการซื้อขายตำแหน่ง สิทธิสัมปทาน ความสมยอมภาคธุรกิจต่างๆ
ส่วนนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย (Thai CSI) เดือนมิ.ย.68 ว่า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 36 ลดลงจาก 37 ในการสำรวจเดือนธ.ค.67 โดยค่าดัชนียิ่งเข้าใกล้ 100 แสดงว่า คอร์รัปชันลดลง แต่หากเข้าใกล้ 0 แสดงว่า ปัญหารุนแรงขึ้น ส่วนดัชนีสถานการณ์ปัจจุบัน อยู่ที่ 33 ลดจาก 34 ขณะที่ดัชนีในอนาคต อยู่ที่ 38 ลดจาก 39