รองผู้ว่าธปท.ฉายภาพ“ครึ่งปีหลัง” ส่งสัญญาณ“นโยบายการเงิน-ดอกเบี้ย”ยุคเศรษฐกิจซบเซา

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

รองผู้ว่าธปท.ฉายภาพ“ครึ่งปีหลัง” ส่งสัญญาณ“นโยบายการเงิน-ดอกเบี้ย”ยุคเศรษฐกิจซบเซา

Date Time: 4 ก.ย. 2568 07:00 น.

Summary

รองผู้ว่า ธปท.ตอบคำถามคาใจ “ควรรีบลดดอกเบี้ยนโยบายช่วยเศรษฐกิจฟื้น เงินไม่ฝืดทำไมคนไทยกระเป๋าแฟป ทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอตัว และมีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลดลงได้อีกหรือไม่ในปีนี้” 

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย


นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวถึง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ลง 0.25% ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ส.ค.68 ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาอยู่ที่ 1.5% จาก 1.75% แม้ว่า ธปท.ได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่า จะขยายตัวที่ 2.3% และเห็นบทสรุปของภาษีตอบโต้สหรัฐฯชัดเจน ซึ่งไทยถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% ว่า

“ภายใต้การประมาณการเศรษฐกิจของธปท.ตั้งแต่ต้นปี เราเห็นแล้วว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรกมาก และที่ผ่านมาได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาเป็นระยะ แต่เมื่อลดลงมาถึงจุดหนึ่งแล้ว การจะลดดอกเบี้ยต่อจะต้องหาจังหวะและเวลาที่เหมาะสมที่จะมีประสิทธิผลการส่งผ่านได้ดีที่สุด ซึ่งการปรับลดครั้งที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ดีที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทั้งหมดปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามทันที”

ทั้งนี้ หากมองจากตัวเลขเศรษฐกิจจริง อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีแรก ซึ่งไตรมาสแรกขยายตัวได้ประมาณ 3% ไตรมาสที่ 2 ประมาณ 2.9% นั้น ดีกว่าที่ธปท.คาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่เห็นควบคู่มาด้วย คือภาวะการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง 

.มองไปข้างหน้าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจชะลอ

ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้าในครึ่งปีหลัง ภาคการส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของภาษีสหรัฐฯ รวมทั้งการเร่งส่งออก โดยครึ่งปีแรกการส่งออกไทยขยายตัว 15% จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่งออกไปสหรัฐโตเกือบ 30% แต่ทั้งปีเราประมาณการว่าการส่งออกปี 68 จะขยายตัว 4% แสดงว่า การส่งออกในครึ่งปีหลังจะต้องติดลบ เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มชะลอลง 

"บางคนมองว่า ธปท.มองเศรษฐกิจปีนี้ดีเกินไป  แต่หากมองว่าเศรษฐกิจครึ่งปีแรกโตไปแล้ว 3% การประมาณการที่ 2.3%  แสดงว่าเราเห็นผลกระทบในครึ่งปีหลัง ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมาตั้งแต่แรก โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ที่กำลังเจอศึกหลายด้าน มีความเปราะบางมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบไปยังการจ้างงาน และรายได้ครัวเรือน การลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ จึงต้องการให้มีส่วนช่วยการปรับตัวของภาคธุรกิจ และบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง”

.นโยบายการเงินและความคาดหวังดอกเบี้ย

รองผู้ว่าการธปท.กล่าวต่อว่า นโนบายการเงินผ่อนคลายมาแล้วระยะหนึ่ง โดยขณะนี้ดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่า “อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม” หรือ Neutral rate  ซึ่งเป้าหมายของ ธปท.ไม่แตกต่างจากรัฐบาล ที่ต้องการให้เศรษฐกิจมีความแข็งแรง และทนทาน โดยที่ผ่านได้มีการพูดคุยกับกระทรวงคลังมาตลอด แต่การตัดสินใจนโยบายการเงิน จะมีลักษณะเป็นการมองเศรษฐกิจไทยข้างหน้ามากกว่าการอิงตามตัวเลขเศรษฐกิจระยะสั้นที่มีความผันผวน (Outlook dependent) และเน้นสร้างความยืดหยุ่นทนทาน (Resilience) ให้กับเศรษฐกิจ

  “ที่ผ่านมา อาจมีความคาดหวังว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซาได้ ซึ่งเราก็เข้าใจว่า การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระผ่อนส่งของลูกหนี้บางกลุ่มลงได้ แต่ดอกเบี้ยก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง การลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่สามารถทำได้มากขนาดนั้น ระยะสั้นทำได้แค่บรรเทาภาระ แต่ไม่ได้สามารถแก้ปัญหาทั้งหมด ทั้งปัญหาหนี้ หรือแก้ปัญหารายได้ไม่พอใช้  ต้องหาทางเพิ่มรายได้ ตรงกันข้าม การปล่อยให้ดอกเบี้ยที่ต่ำนานเกินไป จะเป็นต้นทุนที่จะสะสมความเสี่ยงในระยะยาว เช่น การก่อหนี้เกินตัว ไม่ออมเงืน หรือไปลงทุนที่ไม่ก่อให้ประโยชน์”

ทั้งนี้ การตัดสินใจนโยบายการเงินในช่วงต่อไป จะต้องคิดให้ดีถึง “การเก็บกระสุน” ที่เหลือน้อยให้ใช้ได้ประโยชน์สูงสุด การลดจาก 1.75% ลงมาเหลือ 1.5% ยังส่งผ่านได้ดี แต่ต่ำกว่านี้ประสิทธิภาพจะลดลง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการปรับลดอกเบี้ยอีก กนง.เห็นว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งในขณะที่เราคุยกันอยู่นี้ยังไม่ชัดเจนว่า การเมืองไทยจะมีรัฐบาลใหม่ได้เมื่อไร และกระทบกับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลในปี 69 หรือไม่ หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ ส่งออกแย่ ท่องเที่ยวก็แย่ การบริโภคลดลงแรง การตัดสินใจดอกเบี้ยก็ปรับได้  โดย กนง.เป็นห่วงภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น และความสามารถชำระหนี้ของเอสเอ็มอี และกลุ่มเปราะบาง

.เปิดเหตุผลทำไม “คนไทยรู้สึกเงินฝืด”

ส่วนข้อถกเถียงที่ว่า เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำมานาน และเราอาจจะอยู่ในยุคเงินฝืด นายปิติ กล่าวต่อว่า ทุกคนมองว่าเศรษฐกิจขณะนี้ซบเซา แต่หากดูตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยถามว่า เราโตเต็มศักยภาพหรือไม่ ประเมินกันว่า ศักยภาพเศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ที่ 2.7-2.8% หรือเฉลี่ยโตไตรมาสละ 0.7% และไม่น่าเชื่อว่า หากดูตัวเลขการขยายตัวไตรมาสต่อไตรมาสเฉลี่ย 7 ไตรมาสที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งหมายความว่า เราโตตามศักยภาพ

แล้วทำไมเรายังรู้สึกว่าเศรษฐกิจซบเซา มีเงินในกระเป๋าน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากการกระจายรายได้ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงมาจากภาคธุรกิจเพียงบางกลุ่ม และกระจุกตัวอยู่ในผู้ประกอบการรายใหญ่

"อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า เศรษฐกิจไทยเหมือนมีโลก 2 ใบที่เติบโตแตกต่างกัน เพราะหากพิจารณาจากมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะพบว่า กลุ่มคนที่มีรายได้ 80% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศนั้น กระจุกอยู่ในกลุ่มคนจำนวน 5% ของประชากรเท่านั้น ขณะที่อีก 95% มีรายได้รวมกันเพียง 20% แสดงให้เห็นการกระจุกตัวของรายได้ในบางธุรกิจและในบริษัทใหญ่มากกว่าที่จะกระจายมายังคนทุกระดับ”

ขณะที่หากมองแค่ภาคส่งออก มีบริษัทที่จดทะเบียนเป็นธุรกิจส่งออก-นำเข้าประมาณ 400,000 แห่ง แต่ดำเนินกิจการจริง 10,000 แห่งเท่านั้น และใน 10,000 แห่งนี้ มีบริษัทระดับทอปเพียง 5% ที่มีมูลค่าการส่งออก 85% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่แรงงานไทย 50% เป็นมนุษย์เงินเดือน และอีกประมาณ 50% ประกอบอาชีพอิสระ 

เมื่อการเติบโตกระจุกรายได้ที่คนเพียงบางกลุ่ม ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้การปล่อยสินเชื่อใหม่มีความระมัดระวัง ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่มีการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ใครเลย ยังคงมีการสินเชื่อใหม่เป็นเงินจำนวนไม่น้อย แต่จะคนที่ขอจะไม่ได้สินเชื่อทุกคน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เพราะธนาคารพาณิชย์กังวลความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นว่าจะกลายเป็นหนี้เสีย จึงเข้าใจว่าได้ว่า เงินในมือของคนส่วนใหญ่อาจจะไม่คล่องเหมือนก่อนหน้าช่วงโควิด 

แต่ท้ายที่สุด อยากให้เข้าใจว่า “เงินไม่คล่องมือ” กับนิยามของ “ภาวะเงินฝืด” เป็นคนละความหมาย เพราะเงินฝืด คือ คนไม่มีกำลังซื้อ แม้พ่อค้าลดราคาสินค้าลง แต่ขณะนี้ คนมีกำลังซื้อน้อยลง เพราะราคาค่าครองชีพสูงขึ้น  ซึ่ง ธปท.มองว่า เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจะมีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพประชาชนและต้นทุนธุรกิจสูงไปกว่านี้ 



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ