เอกชนห่วง “ไทย-กัมพูชา” บานปลาย เรียกร้องทุกฝ่ายดำเนินการรอบคอบเร่งหาทางยุติโดยเร็ว

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เอกชนห่วง “ไทย-กัมพูชา” บานปลาย เรียกร้องทุกฝ่ายดำเนินการรอบคอบเร่งหาทางยุติโดยเร็ว

Date Time: 25 ก.ค. 2568 07:00 น.

Summary

หอการค้าไทยห่วงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เรียกร้องทุกฝ่ายดำเนินการอย่างรอบคอบ ด้าน ส.อ.ท. เผยปิดด่านทำไทยสูญรายได้วันละ 500 ล้านบาท ลุ้นรัฐบาลหาทางหยุดกรณีปะทะกันโดยเร็วที่สุด

Latest

“ศุภจี”ย้ำสหรัฐฯอย่ายุ่งอธิปไตยไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าจากเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค. 68 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากทั้งกำลังพลและประชาชน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และเกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาเสถียรภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือในระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ


สำหรับในด้านการค้าการลงทุน หอการค้าไทยขอยืนยันว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยยังคงเปิดด่านการค้าอย่างต่อเนื่องและไม่เคยมีนโยบายปิดกั้นการค้าชายแดน อย่างไรก็ตาม มาตรการด้านความมั่นคงและสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะสามารถกลับมาฟื้นตัวหลังสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ท้ายที่สุด หอการค้าไทยขอส่งกำลังใจไปยังกำลังพลของกองทัพไทย และหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกภาคส่วน ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และขอภาวนาให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้


ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทย-กัมพูชาปีที่ผ่านมา มียอดค้าขายระหว่างกัน 180,000 ล้านบาท โดยเป็นการค้าขายผ่านชายแดนต่างๆ รวม 175,000 ล้านบาท อีก 5,000 ล้านบาทเป็นการค้าขายผ่านการขนส่งทางเครื่องบิน ซึ่งช่วงแรกที่มีการปิดด่านพรมแดงของ 2 ประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างกันกรณีมีการปิดด่าน 100% ทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการส่งออกไปกัมพูชาวันละ 500 ล้านบาท “จากนี้ไปการเกิดการปะทะกันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการยิงปะทะของกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย ทำให้คนไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด ว่าทางฝั่งกัมพูชามีเจตนาที่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น เพื่อหวังผลทางการเมืองใดหรือไม่”


ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่าสถานการณ์ล่าสุดได้มีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อเศรษฐกิจการค้าของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงกระทบไปถึงความเป็นอยู่ และความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดน ซึ่งต้องมีการอพยพ หรือต้องไปอยู่ที่หลุมหลบภัย ซึ่งส่งผลให้การค้าบริเวณดังกล่าวย่ำแย่ตามไปด้วย ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ อย่างน้อยบริเวณที่เป็นชายแดนซึ่งมีโบราณสถานเก่าแก่ โบราณสถานซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยว 2 ฝั่งเดินทางไปท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ขณะนี้ก็ต้องหยุดชะงัก และ ส.อ.ท. คาดหวังว่า เรื่องข้อพิพาทนี้จะจบโดยเร็ว เพื่อเป็นการรักษาชีวิต และความปลอดภัยของประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง โดยเฉพาะฝั่งไทยที่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะกระทบเรื่องเศรษฐกิจ ยังมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย


ขณะที่นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในฐานะนักธุรกิจ รู้สึกไม่สบายใจที่เหตุการณ์ปะทุบานปลาย เห็นใจประชาชนในแนวชายแดน รวมทั้งฝ่ายความมั่นคง เห็นใจฝ่ายไทย ทั้งทหาร รัฐบาล ประชาชนทุกคน ซึ่งไทยโดนยั่วยุมาตลอดจากการที่ผู้นำของอีกฝ่ายยั่วยุ เพื่อผลทางการเมืองในประเทศกัมพูชาเอง ถือเป็นวิชามาร ไม่ใช่เพื่อนบ้านที่น่าคบหาสมาคมด้วย เชื่อมั่นในดุลพินิจที่ดีของรัฐบาลไทย และฝ่ายความมั่นคง ในมาตรการตอบโต้ใดๆ ทั้งด้านกองทัพ ด้านการต่างประเทศ และการค้า ที่สำคัญต้องถือโอกาสล้มล้างระบบการค้าสีเทา และคอลเซ็นเตอร์ของผู้นำฝ่ายกัมพูชา ที่เราต้องจัดการให้เฉียบขาด รวดเร็ว ใช้มาตรการหนักทางการทหารปิดด่าน สั่งสอนทางเศรษฐกิจล้างเศรษฐกิจสีเทา ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต สุดท้ายหากเขายังไม่ยอมจบก็ขอให้ไปจบในเวทีโลกโดยเร็ว


นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา กล่าวว่า การปะทะกันของ 2 ฝ่ายยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เศรษฐกิจการค้าชายแดนก็เสียหายเพิ่ม รวมไปถึงชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน ขณะที่นักธุรกิจไทยในกัมพูชาก็ต้องประเมินสถานการณ์ว่าควรกลับมาไทยหรืออยู่ต่อ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม อยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาทางเจรจาให้ได้ข้อยุติ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้ เพราะจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย และขอให้กลับมาสู่จุดเริ่มต้นก่อนที่จะเกิดปัญหาโดยเร็ว


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ