
ถือเป็นเรื่องที่ไม่เซอร์ไพรส์ตลาด เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ต่อเนื่องจากการลดครั้งก่อนหน้า ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.75% รวมทั้งมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 1.3-2.0%
โดยสมมติฐานในกรณีที่เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.3% นั้น การเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯต่อไทยจะต้องลดลงจาก 36% ที่ประกาศไว้เหลือครึ่งหนึ่ง หรือ 18% ขณะที่ทุกประเทศได้รับการปรับลดภาษีในอัตราเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับสำนักวิเคราะห์วิจัยเศรษฐกิจ ทั้งศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่มองว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.4% และศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC มองว่าเศรษฐกิจไทยจะโตที่ 1.5%
อย่างไรก็ตาม หากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯเกิดผลรุนแรงมากต่อเศรษฐกิจไทย เช่น เราปรับลดอัตราภาษีลงได้น้อยมาก หรือประเทศคู่แข่งมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าเรามาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจกรุงไทย หรือ Krungthai COMPASS มองว่าปีนี้เราจะโตเหลือ 0.7% สอดคล้องกับการประมาณกรณีเลวร้ายของแบงก์ชาติ ที่คาดว่าปีนี้จะโตได้ไม่ถึง 1%
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินผลระยะยาวด้วยว่า จะมีรูปแบบ “แผลเป็นทางเศรษฐกิจ” ที่ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจใน 5 ปีข้างหน้า มูลค่ากว่า 1.6 ล้านล้านบาท ทุกสำนักมองตรงกันด้วยว่าบริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้จะเริ่มกระทบไทยในครึ่งปีหลังของปีนี้ และกระทบเต็มๆทั้งปีในปีหน้าและหากผลกระทบอยู่ในกรณีรุนแรง เศรษฐกิจไทยปี 2569 อาจจะโตในช่วงบวก 1% หรือ 0% ที่แปลว่าไม่โตเลย ไปจนถึงติดลบ 1% จึงไม่แปลกที่ทุกฝ่ายมองว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะต้องปรับลดลงอีกในปีนี้
อย่างไรก็ตาม หากถามถึง “ความสามารถในการลดดอกเบี้ย” ของ กนง.ว่าลดดอกเบี้ยได้อีกกี่ครั้งกระสุนจึงหมด หากเทียบอัตราปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% กับเรทที่เคยอยู่ต่ำสุดที่ 0.5% ยังลดลงได้อีก 1.25% หรือประมาณ 5 ครั้ง
แต่เนื่องจากผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯของปีนี้จะเกิดชัดเจนในครึ่งปีหลัง ขณะที่ยังต้องเผื่อกระสุนไว้สำหรับผลกระทบที่จะแรงกว่าในปีหน้า รวมทั้งยังต้องเผื่ออีกก๊อกไว้สำหรับนโยบายใหม่ๆของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งการใช้มาตรการด้านการเงิน การเก็บค่าธรรมเนียมจากการถือเงินดอลลาร์ หรือมาตรการอื่นๆอีก
ในปีนี้ศูนย์วิจัยแบงก์พาณิชย์จึงมองตรงกันว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยในปีนี้อีก 1 ครั้ง หรือไม่เกิน 2 ครั้ง และไปลดต่อเนื่องในปีหน้า แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ทุกครั้งที่ กนง.ลดดอกเบี้ยแบงก์พาณิชย์เองก็ต้องเร่งลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงให้กับลูกค้าโดยเร็วในอัตราที่ใกล้เคียงกับ กนง. เพื่อให้เกิดผลในการบรรเทาภาระลูกหนี้ที่แท้จริง รวมทั้งเร่งปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน
เพราะหาก กนง.ลดดอกเบี้ย ใส่เงินในระบบเพิ่ม แต่ผลจากการลดดอกเบี้ย และเม็ดเงินไม่ได้ส่งผ่านจากแบงก์พาณิชย์ไปยังประชาชน ประสิทธิภาพของการผ่อนคลายนโยบายการเงินก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างที่ทุกคนหวัง.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม