สักกะภพ พันธยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ที่ประชุม กนง.ครั้งที่ 2 ของปี 2568 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เพื่อให้เป็นไปตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีผลกระทบจากสถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลกที่ชัดเจน
ทั้งนี้ กนง.มองว่า ผลกระทบในปัจจุบันยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ความไม่แน่นอนยังมีสูงมาก เพราะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลง และสถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อและผลกระทบจะทอดยาวทำให้ประสิทธิภาพการค้าและการผลิตโลกลดลงในระยะยาว รวมทั้ง นโยบายการค้าโลกของประเทศเศรษฐกิจหลักในอนาคตยังคาดเดาได้ยาก ขณะที่ภาวะการเงินยังคงตึงตัว ทำให้ ธปท.จะต้องติดตามภาวะความเสี่ยงในด้านการเงินของผู้ที่ได้รับผลกระทบเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลงแรง และฐานะการเงินโดยรวมของประชาชนในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด
“ในขณะนี้เรายังไม่ได้อยู่ในช่วงพายุ แต่พายุใหญ่กำลังจะมา ซึ่ง กนง. มองว่าใน 2 ไตรมาสแรก ผลกระทบอาจจะไม่มากนัก เพราะยังเห็นการเร่งส่งออก และมีนักท่องเที่ยว แต่ในครึ่งปีหลังพายุจะเข้ามา โดยเราจะรู้แล้วว่าภาษีที่สหรัฐฯ จะเก็บเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร และประเทศอื่นๆ จะเป็นอย่างไร และผลกระทบเช่นนี้จะลากยาวไปอีกระยะหนึ่ง ทำให้ กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวลดลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น โดยการส่งออก และนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลง ทำให้ กนง.ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ และอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ลง”
นายสักกะภพ กล่าวต่อว่า ในการประเมินภาพเศรษฐกิจในครั้งนี้ ทำผ่าน 2 ฉากทัศน์ คือ กรณีที่ 1 กรณีฐาน การเจรจาทางการค้ามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบันคือ ประมาณ 10% จีนมาการเจรจากับสหรัฐฯ และลดภาษีได้ระดับหนึ่ง กรณีนี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัว 2.0% และขยายตัวลดลงเหลือ 1.8% ในปี 2569 มูลค่าการส่งออกลดลงเหลือ 0.8% ในปีนี้ และติดลบ 2.8% ในปีหน้า ขณะที่กรณีที่ 2 กรณีเลวร้ายกว่า ฉากทัศน์ที่สงครามการค้ารุนแรงมาก ทุกประเทศลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ได้ครึ่งหนึ่งทำให้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ของไทยอยู่ในอัตราที่สูง อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัว 1.3% ในปีนี้ และ 1% ปีหน้า การส่งออกจะติดลบตั้งแต่ปีนี้ที่ลบ 1.3% และติดลบ 7% ในปีหน้า รวมทั้ง มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค ขณะที่ปรับลดอัตราเงินเฟ้อปีนี้ลงมาอยู่ที่ 0.5% ในกรณีฐาน และ 0.2% ในกรณีเลวร้ายกว่า ซึ่งต่ำกว่ากรอบนโยบายการเงิน
“ธปท.มองว่าทั้งสองกรณีนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดประมาณ 70-80% แต่สิ่งที่เกิดจริงจะเลวร้ายมากขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายและการปรับตัวของประเทศต่างๆ จึงต้องติดตามพัฒนาการการค้าโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ในขณะที่การแก้ปัญหาและลดผลกระทบจากนโยบายการค้าข้างต้นจำเป็นต้องผสมผสานนโยบายหลายด้านเสริมกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ”
ต่อข้อถามที่ว่า หากมีความจำเป็น ธปท.สามารถลดดอกเบี้ยลงได้ต่อเนื่องมากแค่ไหน นายสักกะภพ กล่าวว่า ขณะที่ กนง. ปรับทิศทางนโยบายการเงินไปสู่การผ่อนคลายลง โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งที่ผ่านมาจากภาพเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงกว่าที่คาด ขณะที่การลดลงครั้งนี้ เป็นการตอบสนองผลกระทบจากสงครามการค้าโลก และคาดว่าจะมีการส่งผ่านไปยังการลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไปช่วยบรรเทาภาระของผู้กู้ แต่ยังไม่ได้หมายความว่า จะลดลงทุกครั้งต่อจากนี้
“หากมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงไปต่ำสุดในช่วงโควิดดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดอยู่ที่ 0.5% แต่การใช้นโยบายดอกเบี้ยในการพยุงเศรษฐกิจนั้น เรามีพื้นที่เหลือไม่มาก ทำให้ต้องทำโดยมีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับสถานการณ์และภาพเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นชัดหลังจาก 90 วันจากนี้ที่เราจะรู้ว่าภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยอยู่ที่เท่าไร อย่างไรก็ตาม มองว่าผลกระทบในครั้งนี้ มองว่าไม่เท่ากับช่วงโควิด แต่หากสถานการณ์แย่ลง ธปท.ก็สามารถปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายได้อีกเพื่อลดผลกระทบของเศรษฐกิจ”
นายสักกะภพ กล่าวถึงการปรับลด Outlook ของประเทศของมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส จากระดับเสถียรภาพเป็นเชิงลบว่า มูดีส์ให้เหตุผลในการปรับลด Outlook แต่ยังไม่ได้ปรับลดอันดับของไทยในครั้งนี้ ว่ามาจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่อาจจะช้ากว่าที่คาด และภาระหนี้รัฐบาลของไทยที่สูงขึ้น ซึ่งการปรับแบบนี้ ตามปกติจะเห็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจในการระดมทุนต่างๆ
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามของ ธปท.ยังไม่เห็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงไปมาก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังไม่ได้สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ รัฐบาลก็ต้องตระหนักในคำเตือนของมูดีส์ ซึ่งอาจจะทำให้ต้องใช้พื้นที่ของนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังที่ระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้น มาตรการที่ออกมาควรจะเป็นการดูแลผู้ได้รับผลกระทบเฉพาะกลุ่ม และเร่งลงทุนของภาครัฐทดแทนการลงทุนภาคเอกชนที่จะลดลง
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney