
นายฟาบริชิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย ได้เปิดเผยรายงาน “ปิดช่องว่าง : ความเหลื่อมล้ำและงานในประเทศไทย” ระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ไทยมีความคืบหน้าการลดช่องว่าง ระหว่างคนที่ร่ำรวยที่สุดและยากจนที่สุดเป็นอย่างมาก แต่ได้ชะลอตัวลงนับตั้งแต่ปี 56 โดยปี 64 ไทยมีสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini coefficien) ของรายได้ ซึ่งเป็นหน่วยวัดมาตรฐานความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ อยู่ที่ 43.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของความไม่เสมอภาคของรายได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก การกระจุกตัวของรายได้ในครัวเรือนที่ร่ำรวยที่สุดนั้นสูงเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ปี 64 พบว่า 10% ของคนไทยที่ร่ำรวยที่สุดถือครองรายได้ และความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ความแตกต่างด้านโอกาสทางการศึกษาและทักษะ รายได้ของเกษตรกรต่ำ ประชากรสูงวัย และหนี้ครัวเรือนที่ เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความท้าทายในการลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งการแพร่ระบาดโควิด-19 อาจทำให้ช่องว่างของผลลัพธ์การเรียนรู้และปัญหาหนี้สินในครัวเรือนที่มีอยู่เดิมทวีความรุนแรงขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและสัดส่วนประชากรวัยทำงานลดลง เป็นปัจจัยทำให้ความพยายามการลดความเหลื่อมล้ำมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น “จากรายงานฉบับนี้ พบว่าความเหลื่อมล้ำในไทยเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย จากโอกาสการพัฒนามนุษย์ที่ไม่เท่าเทียมกัน และอยู่ตลอดวงจรชีวิตและสืบทอดถึงรุ่นต่อๆไป จึงจำเป็นต้องมั่นใจว่านโยบายที่กำหนดขึ้นมาสามารถให้การสนับสนุนกลุ่มเปราะบางได้อย่างเพียงพอ”
นางนาเดีย เบลฮัจ ฮัสซีน เบลกิธ นักเศรษฐศาสตร์ด้านความยากจนของธนาคารโลก ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมการศึกษารายงานฉบับนี้ กล่าวว่า อุปสรรคการเรียนทางไกลในช่วงโควิด-19 เกิดขึ้นกับนักเรียนในครัวเรือนที่ยากจนที่สุดของไทย ทำให้ช่องว่างการเรียนรู้กว้างขึ้น ส่งผลให้การเรียนรู้ของประเทศอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้วนั้น ยิ่งต่ำลงกว่าเดิม โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีรายได้น้อย
ด้านนางวรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของไทยว่า ปี 65 ไทยมีคนจนรวม 3.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 5.43% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มี 4.4 ล้านคน หรือ 6.32% ขณะที่เส้นความยากจนของคนไทย ปรับตัวดีขึ้นจาก 2,803 บาทต่อคนต่อเดือน ในปี 64 เป็น 2,997 บาทต่อคนต่อเดือนในปี 65 สำหรับจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 5 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน, ปัตตานี, ตาก, นราธิวาส และกาฬสินธุ์ โดยจังหวัดที่น่าห่วงคือ แม่ฮ่องสอน เพราะติดอยู่ใน 5 อันดับแรกติดต่อกันต่อเนื่องมาเป็น 19 ปี สะท้อนให้เห็นปัญหาความยากจนเรื้อรังที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องเร่งหาทางแก้ไขในเชิงนโยบาย ตัวชี้วัดที่น่าสนใจ คือ การจัดสรรงบประมาณภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านสวัสดิการต่างๆ ไม่ต่างจากจังหวัดอื่นที่มีสัดส่วนคนจนน้อย มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2,398 บาทต่อคน และยังแก้ปัญหาได้ไม่จบ จึงต้องหาวิธีแก้ไขให้ตรงจุดต่อไป.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่