เอฟทีงวดใหม่ขึ้นนจริง 68.66 สต. คนไทยอ่วม! จ่ายค่าไฟพรวดหน่วย 4.72 บาท

กกพ.ประกาศขึ้นค่าเอฟทีเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ รวม 93.43 สต.ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นจากงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.อีก 68.66 สต.ต่อหน่วย ทำคนไทยจ่ายค่าไฟฟ้า รวมค่าไฟฟ้าฐาน 4.72 บาทต่อหน่วย จากเดิม 4 บาทต่อหน่วย ขณะที่ราคาดีเซลยังตรึงต่อที่ไม่เกินลิตรละ 35 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้โพสต์ Facebook แจ้งการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนก.ย.-ธ.ค.65 โดยมีข้อความระบุว่า กกพ.สร้างสมดุล ผู้ใช้ไฟ & กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ปรับขึ้นค่าเอฟทีอีก 68.66 สตางค์ (สต.) ต่อหน่วย จากงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.65 ที่เก็บที่ 24.77 สต.ต่อหน่วย รวมเป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย จากเดิม 4 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ กกพ.ยังระบุอีกว่า 1.การคิดค่าเอฟทีเดือน ก.ย.-ธ.ค. เพิ่มสูงขึ้นเป็น 236.97 สต.ต่อหน่วย ยังไม่รวมที่ กฟผ.แบกรับภาระต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนผู้ใช้ไฟฟ้า 83,010 ล้านบาท 2. การบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กกพ.จึงปรับเพิ่มค่าเอฟทีเพีย 68.66 สต.ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟที 93.43 สต.ต่อหน่วย โดยมีสาเหตุหลักๆมาจากสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ในตลาดจร (Spot LNG) ที่สูงขึ้นเพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและเมียนมา ที่ลดลง รวมทั้งความผันผวนของ Spot LNG ในตลาดโลกสรุปได้ ดังนี้

1.ปริมาณก๊าซธรรมชาติในประเทศที่ลดลงจากเดิมจ่ายก๊าซได้ 2,800-3,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD) ลดลงเหลือ 2,100-2,500 MMSCFD ทำให้ต้องนำเข้า Spot LNG เข้ามาเสริมหรือเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมัน เพื่อทดแทนก๊าซที่ขาดแคลน รวมทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ Spot LNG มีราคาแพงที่ 25-50 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านลูกบาศก์ฟุต เทียบกับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่เพียง 6-7 เหรียญฯต่อล้านลูกบาศก์ฟุต จึงส่งผลให้ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

2.การผลิตก๊าซธรรมชาติจากเมียนมามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในสิ้นปีนี้ถึงต้นปีหน้า ทำให้มีความต้องการนำเข้าแอลเอ็นจีมากกว่าที่ประมาณการไว้เดิม ขณะที่ผู้ผลิตแอลเอ็นจีทั่วโลกชะลอการลงทุนเพิ่ม แต่ความต้องการใช้มีมากกว่ากำลังการผลิตในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อราคา และการเจรจาสัญญาซื้อขายตั้งแต่ปี 64 ต่อเนื่องปีนี้และปีหน้า และ 3. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้รัสเซียลดหรือตัดการจ่ายก๊าซธรรมชาติไปยังสหภาพยุโรป ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคาแอลเอ็นจีในตลาดเอเชีย

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ และเมียนมา รวมทั้งสภาวะตลาดที่ไม่เอื้อต่อการเจรจาสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจี ทำให้ กกพ. ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อใช้เชื้อเพลิงสำรอง เพื่อรองรับสถานการณ์ขาดแคลนก๊าซ ธรรมชาติ และแอลเอ็ลจี ในช่วงปลายปี 65 ต่อเนื่องถึงปี 66 จึงขอให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด เพื่อให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า

ด้านนายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้ทบทวนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยมีมติให้คงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ลิตรละ 34.94 บาท ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมัน วันที่ 14 ส.ค.65 ติดลบ 117,394 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนที่ติดลบ 117,229 ล้านบาท.