ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 ธ.ค.61 ว่า เป็นไปด้วยความคึกคัก รับข่าวสงครามการค้าจีนสหรัฐฯ คลี่คลาย หลังผลการเจรจาการค้าระหว่าง 2 ผู้นำในการประชุมจี 20 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสัญญาณที่ดี โดยสหรัฐฯประกาศเลื่อนการใช้มาตรการภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน จากเดิมจะมีผลวันที่ 1 ม.ค.62
รวมทั้งข่าวดีเรื่องการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวลงไปมาก ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนในประเทศซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงซื้อจากกองทุนหุ้นระยะยาว (RMF) และกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (LTF) ที่มียอดซื้อสุทธิสูงถึง 9,400 ล้านบาท ขณะที่ต่างชาติโชว์การกลับเข้ามาซื้อสุทธิ 2,676.95 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 143.60 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยฉวยโอกาสขายทำกำไรระยะสั้น โดยขายสุทธิ 12,314.12 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 1,672.61 จุด เพิ่มขึ้น 30.81 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 60,562.30 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทยกล่าวว่า ปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดปรับขึ้นรอบนี้เป็นผลจากการเจรจาการค้านอกรอบระหว่างจีนสหรัฐฯ ในการประชุมจี 20 ที่ทำให้นักลงทุนคลายความกังวล ขณะที่ยังมีข่าวดีกรณีที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาส่งสัญญาณที่ทำให้ตลาดตีความว่าเฟดน่าจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้บรรยากาศหรือเซนติเมนต์ของตลาดหุ้นทั่วโลกดีขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นไทยปรับตัวลงไปมากแล้ว เมื่อหลายปัจจัยคลี่คลายจึงมีแรงซื้อกลับเข้ามา ซึ่งมองว่าจากนี้ไปจนถึงปลายปีไม่น่าจะเหลือข่าวร้ายที่กดดันตลาดหุ้นแล้ว ดังนั้น ทิศทางตลาดน่าจะกลับสู่ขาขึ้นได้
“ปลายปีนี้ดัชนีจะไปได้ถึง 1,720 จุด ได้ปัจจัยบวกจากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ จีน เป็นไปในทางบวกทำให้บรรยากาศการลงทุนหุ้นทั่วโลกดีขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯใกล้ระดับพีกแล้ว ส่วนดอกเบี้ยไทยแม้จะปรับขึ้นแต่ไม่น่าแรง ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวดี ปี 62 คาดว่าขยายตัว 4% ได้แรงหนุนจากรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศดีขึ้น ขณะที่การเลือกตั้งถือเป็นแรงหนุนระยะสั้น ส่วนระยะกลางจะถูกหนุนจากการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และการลงทุนภาครัฐ”
นายไพบูลย์ยังเปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าว่า ปรับตัวลง 13.93% ถือเป็นการลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยความเชื่อมั่นนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลงมาอยู่ที่ Zone ซบเซา (Bearish) ส่วนความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติลดลงมาอยู่ Zone ทรงตัว (Neutral) ขณะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนสถาบันในประเทศและกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ใน Zone ร้อนแรง (Bullish) โดยนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า และเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง โดยดัชนีหุ้นไทยและค่าเงินบาทมีการปรับตัวอย่างมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนจับตามากที่สุด คือการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯและความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่คาดว่าจะส่งผลให้การเติบโตเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง รวม ทั้งการพิจารณาลงนามข้อตกลง Brexit ร่วมกันของสหภาพยุโรป (EU) และอังกฤษ ซึ่งจะต้องเสร็จสิ้นก่อนที่อังกฤษจะต้องแยกตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการวันที่ 29 มี.ค.62 รวมทั้งการพิจารณาไม่รับร่างงบประมาณของอิตาลีในคณะกรรมาธิการยุโรป.