กสิกรไทย ชี้ตลาดการเงินส่วนใหญ่ประเมิน กนง. ยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% จนถึงสิ้นปี หลังเศรษฐกิจโตกระจุกตัว ภูธรรากหญ้ายังอ่วม ห่วงขึ้นดอกเบี้ยกระทบวงกว้าง ขณะที่ ส.อ.ท.หวั่นปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินบาทแข็งโป๊ก ส่งออกทรุด ด้านหอการค้าไทย ขอให้แบงก์ชาติพิจารณาในรอบด้าน
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงกรณีที่นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายว่า ตลาดการเงินส่วนใหญ่ รวมศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังประเมินว่าตลอดทั้งปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% เพราะหากปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา เป็นการเติบโตแบบกระจุกตัว เศรษฐกิจภูธรและรากหญ้ายังไม่ดี สินค้าเกษตรบางตัวยังติดลบ
“การคาดการณ์ของรองฯไพบูลย์ เป็นการมองอนาคต หากปรับดอกเบี้ยเศรษฐกิจไทยต้องดีโตเกิน 4% มากๆ โดยเฉพาะส่งออกต้องโตใกล้เคียงเป้าหมายของพาณิชย์ที่ 6% และเป้าหมายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ที่ตั้งไว้ 8% ที่สำคัญเศรษฐกิจเติบโตแบบกระจายตัว”
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ กนง.พิจารณา ประกอบด้วย ในปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด ปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 รอบ ตามที่ประกาศไว้หรือไม่ 2.สงครามการค้าที่เกิดขึ้น หากสหรัฐฯกีดกันการค้า ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียม ทำให้เกิดข้อพิพาทกับแคนาดา ยุโรป และจีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียมรายใหญ่ไปยังตลาดสหรัฐฯ ก็พร้อมตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯเช่นกัน
“หากมีสงครามการค้าเกิดขึ้น มีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากการส่งออกที่ลดลง มีผลต่อการจ้างงานที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการตกงาน ก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้น และยังมีผลให้เศรษฐกิจโลกในภาพรวมเติบโตลดลง”
นอกจากนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ ต้องไม่สะดุด อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ต้องเป็นไปตามเป้าหมาย และสิ่งที่ต้องติดตามข้อพิพาททางการค้า หรือสงครามการค้าที่เกิดขึ้นจะจบลงอย่างไร โดยตลาดการเงินประเมินว่า เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ 3 รอบ โดยการประชุมของเฟดระหว่างวันที่ 20-21 มี.ค.นี้ มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย 85% การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มิ.ย.61 และมีโอกาสปรับขึ้น 70% ส่วนครั้งสุดท้ายเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยระหว่างเดือน ก.ย.-ธ.ค. 61
นายเชาว์ กล่าวอีกว่า ปัจจัยภายในประเทศที่ กนง.ต้องพิจารณาคือ การขยายตัวของเศรษฐกิจต้องเติบโตแบบกระจายตัว จากปัจจุบันการเติบโตเศรษฐกิจมาจากการส่งออกที่เติบโตสูงมาก และรายได้จากการท่องเที่ยว ส่วนเงินเฟ้อในประเทศยังไม่มีแรงกดดันให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5-0.6% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% ซึ่งเห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย และหากปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้เงินต่างประเทศไหลเข้า ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก เนื่องจากปัจจุบันเงินบาทของไทยถือเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย เพราะไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นจำนวนมาก และยังมีตัวเลขเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมาก
ขณะที่นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หาก ธปท.ปรับขึ้นดอกเบี้ยส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า ธปท.จะมีมาตรการรับมืออย่างไร เพราะอย่าลืมว่าประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นฟันเฟืองกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ หากการส่งออกลดลงใครจะรับผิดชอบร่วมกับภาคเอกชน”
ด้านนายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงินใดๆต้องเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจไทยในแต่ละช่วงเวลา หากในปีนี้จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจริงตามที่เป็นข่าว ภาคเอกชนคงไม่มีความ เห็นเพียงแค่ขอให้พิจารณาอย่างรอบด้าน รวมถึงพิจารณาถึงผลดี และผลเสียที่จะเกิดตามมาด้วย.