ธงฟ้าราคาประหยัด สวัสดิการแห่งรัฐสู่รากหญ้า

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ธงฟ้าราคาประหยัด สวัสดิการแห่งรัฐสู่รากหญ้า

Date Time: 5 มี.ค. 2561 05:01 น.

Summary

  • นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่ “โดนใจ” คนฐานราก ที่เป็นผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ และเรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุดตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโครงการเมื่อเดือน ต.ค.60 จนถึงขณะนี้ คงหนีไม่พ้น...

Latest

ยกทัพเอกชนลงทุนแดนมะกัน

นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่ “โดนใจ” คนฐานราก ที่เป็นผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ และเรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุดตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโครงการเมื่อเดือน ต.ค.60 จนถึงขณะนี้ คงหนีไม่พ้น “โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย”

โครงการนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายในการดำเนินการเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีรายได้น้อย กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เพิ่มยอดขายให้ร้านโชห่วย ร้านค้าชุมชน ที่เข้าร่วมเป็น “ร้านธงฟ้าประชารัฐ” และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ผลิตรายเล็กรายน้อย ซึ่งรัฐบาลตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเช่นนี้ จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ

ส่งผลช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจฐานรากขยายตัวได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล!! เพียงแค่เปิดตัวโครงการวันแรก ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แห่นำบัตรไปรูดซื้อสินค้าที่ “ร้านธงฟ้าประชารัฐ” ที่เข้าร่วมโครงการอย่างเนืองแน่น สร้างปรากฏการณ์ “ฟีเว่อร์” ไปทั่วทั้งประเทศ

และล่าสุด โครงการในปีนี้ ซึ่งเป็นโครงการระยะที่ 2 (เฟส 2) รัฐบาลได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยนอกจากจะยังคงช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนแล้ว ยังจะช่วย “สร้างงาน สร้างอาชีพ” ให้ผู้มีรายได้น้อยเหล่านี้ สามารถมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

จนถึงขณะนี้ “โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย” ได้ดำเนินการมาแล้วนับได้ 5 เดือน ผลตอบรับของประชาชนเป็นอย่างไร และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทยในภาพรวมอย่างไร

ทีมเศรษฐกิจ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พาณิชย์ หัวเรือใหญ่อีกคนหนึ่งของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโครงการนี้ มาฟังคำตอบที่ว่า...

“บัตรคนจน” เพิ่มกำลังซื้อประชาชน

นายสนธิรัตน์ เปิดฉากคุยกับ ทีมเศรษฐกิจ ถึงผลการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยจำนวน 11.4 ล้านคน โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือน ต.ค.60 จนถึงล่าสุดเดือน ก.พ.61 จากการสำรวจของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ทำให้ผู้มีรายได้น้อยมีค่าครองชีพลดลง 8-12% ต่อเดือน หรือเท่ากับทำให้กำลังซื้อในสินค้าจำเป็นของผู้มีรายได้น้อยเพิ่มขึ้น 8-12% ต่อเดือน หรือ 2,500 บาทต่อเดือน

โดยจากข้อมูลของกรมบัญชีกลาง ในช่วงเดือน ต.ค.60-ก.พ.61 มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว 14,700 ล้านบาท และประมาณการว่าปี 61 จะมียอดใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 35,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.23% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

“โครงการธงฟ้าประชารัฐช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ผ่านการใช้จ่าย นำเงินไปหมุนเวียนในพื้นที่ชุมชน และเศรษฐกิจฐานรากคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 75,900 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับผลทางตรงแล้วจะเพิ่มปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 101,000 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 0.72% ของจีดีพี”

นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการในจังหวัดต่างๆ ยังพบว่า ประชาชนยังคงใช้บัตรรูดซื้อสินค้าอย่างคึกคักต่อเนื่อง มีการเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อรอซื้อสินค้าในแต่ละวัน จนต้องบอกให้กระจายกันซื้อสินค้า อย่ากระจุกในวันเดียวกัน เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน เพราะเงินที่รัฐบาลใส่ไว้ในบัตร สามารถใช้ได้ตลอดทั้งเดือนจนกว่าเงินจะหมด

“ผู้ถือบัตรยังบอกอีกว่า อยากให้รัฐบาลทำโครงการนี้ตลอดไป เพราะช่วยลดภาระค่าครองชีพในแต่ละเดือนได้จริง ชาวบ้านบางคนพูดกับผมด้วยน้ำตาคลอๆ ว่าที่ผ่านมา แทบไม่มีเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อ หรือถ้าจะซื้อก็ซื้อได้เพียงครั้งละนิดๆ หน่อยๆ แต่โครงการนี้ ทำให้มีเงินซื้อข้าวสารได้มากถึงครั้งละ 5 กิโลกรัม ช่วยทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น มีของกินของใช้ดีกว่าที่ผ่านมา”

เมื่อโครงการเป็นที่ชื่นชอบของผู้ถือบัตรเช่นนี้ โครงการในระยะที่ 2 รัฐบาลได้พยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยนอกจากจะเน้นเรื่องการสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้อย่างมั่นคงในระยะยาวแล้ว ยังจะมุ่งเพิ่มจำนวนร้านธงฟ้าประชารัฐให้มากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงร้านค้าของผู้ถือบัตรด้วย

เร่งเพิ่มจำนวนร้านธงฟ้าประชารัฐ

ล่าสุด มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการ และติดตั้งเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) แล้ว 20,000 แห่ง และอยู่ระหว่างการติดตั้งอีก 20,000 แห่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้มีร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่ผู้ถือบัตรสามารถรูดบัตรซื้อสินค้าได้ทั้งสิ้น 40,000 แห่งทั่วประเทศ

สำหรับสินค้าที่ขายภายในร้านธงฟ้าประชารัฐ แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก กลุ่มสินค้าอุปกรณ์การศึกษา เช่น เครื่องแบบนักเรียน อุปกรณ์การเรียน เป็นต้น และกลุ่มสินค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี เป็นต้น รวมทั้งสิ้น 65 สินค้า 538 รายการ จากผู้ผลิต 51 ราย ทั้งรายใหญ่ รายกลาง และเล็ก (เอสเอ็มอี) รวมถึงสินค้าชุมชน สินค้าโอทอป สินค้าของสหกรณ์ต่างๆ โดยมีราคาจำหน่ายถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป 15-20%

“แต่ร้านธงฟ้าประชารัฐ 40,000 แห่ง ผมว่ายังไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ถือบัตร คงต้องเพิ่มให้ได้มากที่สุด ใจผมอยากเพิ่มให้ได้เป็นแสนร้านเลยยิ่งดี ซึ่งต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อหางบประมาณเพิ่มเติม และหาทางเพิ่มร้านให้มากขึ้น ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้ทั่วถึงอย่างแท้จริง”

การเพิ่มจำนวนร้านธงฟ้าประชารัฐให้มากขึ้นนี้ นอกจากจะทำให้ผู้ถือบัตรหาร้านรูดซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกมากขึ้น เพราะบางร้านอาจจะอยู่ใกล้ๆบ้าน เดินทางไปมาสะดวกมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ร้านค้าขนาดเล็กๆ อย่างร้านโชห่วย ร้านค้าในชุมชน ที่เข้าร่วมโครงการ มียอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น

ซึ่งจากการสำรวจของกระทวงพาณิชย์ พบว่า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นมาก จากเดือนละไม่กี่พันบาท เป็นหลักหมื่นบาท เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจ ทำให้สามารถแข่งขันได้ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ร้านธงฟ้าประชารัฐยังเป็นศูนย์รวมการขายสินค้าของผู้ประกอบการรายเล็กๆ ทั้งสินค้าชุมชน สินค้าท้องถิ่น สินค้าโอทอป สินค้าเกษตร สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) หรือแม้กระทั่งสินค้าของเอสเอ็มอี ส่งผลให้ผู้ประกอบการเหล่านี้มีช่องทางการขายสินค้ามากขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น

ขณะนี้พาณิชย์จังหวัดอยู่ระหว่างการคัดเลือกสินค้าดี เด่น ดัง และมีคุณภาพดีของแต่ละท้องถิ่นเพื่อนำเข้าไปขายในร้านธงฟ้าประชารัฐ โดยจะเน้นการขายออกไปสู่นอกพื้นที่ เพราะถ้าในพื้นที่ผลิตได้เองก็คงไม่ซื้อ ผลิตออกมาแล้วขายไม่ได้ อย่างสินค้าบางอย่างที่ผลิตได้ในภาคอีสาน แต่ภาคเหนือ หรือภาคอื่นๆ หาซื้อยาก ก็จะส่งไปขายในภาคต่างๆ เป็นการสร้างความต้องการบริโภคให้มากขึ้น

“สินค้าชุมชน สินค้าท้องถิ่นเหล่านี้ บางอย่างอาจจะยังไม่มีช่องทางการขาย เมื่อผลิตแล้วก็ขายในชุมชน อาจทำให้ขายไม่ได้ กระทรวงพาณิชย์ต้องหาช่องทางการตลาดให้ โดยเอาเข้ามาขายในร้านธงฟ้าประชารัฐ สร้างให้เกิด Utility of Place หรือการเคลื่อนย้ายสินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภคในแหล่งอื่น ทำให้สินค้าขายได้มากขึ้น”

เดินหน้าสร้าง “โชห่วยไฮบริด”

นายสนธิรัตน์ เล่าต่อว่า หลังจากเพิ่มร้านธงฟ้าประชารัฐให้ได้มากขึ้นแล้ว ขั้นต่อไป กระทรวงพาณิชย์จะส่งเสริมและพัฒนาร้านค้าเหล่านี้ให้เป็น “โชห่วยไฮบริด” ด้วยการพัฒนาให้สามารถซื้อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ ควบคู่ไปกับการค้าขายผ่านช่องทางปกติ เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าขายให้มากขึ้น และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม

โดยขณะนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า อยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาร้านธงฟ้าประชารัฐให้มีความรู้ในการซื้อขายทางออนไลน์ มีความรู้ในเรื่องการชำระเงินออนไลน์ การจัดทำระบบบัญชี การบริหารจัดการร้านแบบสมัยใหม่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ อย่าง Mobile Application, Web Application มาปรับใช้ร่วมกับการดำเนินงานของร้านค้า

“การทำให้ร้านค้าค้าขายได้ทั้งแบบออฟไลน์ และออนไลน์ ถือเป็นการเพิ่มจำนวนลูกค้าที่จะมาซื้อสินค้ามากขึ้น เพราะจะทำให้มีลูกค้าที่อยู่นอกท้องถิ่น แต่ชอบซื้อของทางออนไลน์เข้ามาสั่งซื้อสินค้าจากร้าน และจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าโดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ต่อไปอาจขยายการให้บริการเป็นการรับชำระเงิน เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า หรือค่าโทรศัพท์ ถือเป็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับร้านค้า ทำให้ทำธุรกิจแข่งขันกับร้านใหญ่ๆได้”

ในเบื้องต้นของการดำเนินโครงการ คาดว่าจะมีจำนวนร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่มีศักยภาพเข้าร่วมเป็นร้านโชห่วยไฮบริดได้ไม่น้อยกว่า 20,000 ร้านค้า ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท

และเมื่อร้านโชห่วยไฮบริดมีความเข้มแข็งแล้ว จะพัฒนาให้สามารถค้าขายสินค้าบนเว็บไซต์ที่ขายสินค้าสำหรับส่งออก อย่าง Thaitrade.com ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ Talad.com รวมถึงเว็บไซต์ขายสินค้าระดับโลก อย่าง Alibaba.com, JD.com เป็นต้น ซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการหารือกับเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อให้นำสินค้าไทยไปขายบนเว็บไซต์เหล่านี้ด้วย ทำให้สินค้าของไทยขายได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และยังส่งออกไปขายต่างประเทศได้ด้วย

“การดำเนินการทั้งหมดนี้ นอกจากจะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ แล้ว ยังทำให้ร้านค้า มียอดขายเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตสินค้าชุมชน มีช่องทางขายสินค้า มีรายได้เพิ่มขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และสุดท้ายรายได้ของคนเหล่านี้ จะเข้าไปหมุนในระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างแท้จริงตามนโยบายของรัฐบาล” นายสนธิรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ