"พาณิชย์" เปิดผลวิเคราะห์ต้นทุนผลิตราคาสินค้า หากขึ้นค่าเอฟที งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ อีก 8.87 สตางค์ต่อหน่วย พบกระทบต้นทุนสินค้าแค่ 0.0001-0.1886% ลั่นผู้ประกอบการห้ามใช้เป็นเหตุปรับขึ้นราคาขาย...
เมื่อวันที่ 16 ก.ค. นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาโครงสร้างต้นทุนของราคาสินค้า หากมีการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.60 อีก 8.87 สตางค์ต่อหน่วย โดยขณะนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อยู่ระหว่างการประกาศรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ โดยพบว่า หากมีการปรับขึ้นจริง จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าน้อยมากเพียง 0.0001-0.1886% หรือแทบไม่มีผลกระทบเลย จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการจะใช้เป็นข้ออ้างปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้า
สำหรับผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า เช่น อาหารปรุงสำเร็จ (ข้าวกะเพรา) จานละ 35 บาท หากค่าเอฟทีปรับขึ้นจริง จะมีผลให้ต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้น 0.06% หรือเพิ่มขึ้นจานละ 0.02 บาท, ปลากระป๋อง เพิ่มขึ้น 0.0198% หรือกระป๋องละ 0.0033 บาท, แชมพูสระผม เพิ่ม 0.0024% หรือขวดละ 0.0014 บาท, กระดาษชำระ เพิ่ม 0.0692% หรือม้วนละ 0.0091 บาท, แบตเตอรี่ เพิ่ม 0.0593% หรือลูกละ 1.3587 บาท, สังกะสี เพิ่ม 0.0098% หรือแผ่นละ 0.0019 บาท, น้ำมันหล่อลื่น เพิ่ม 0.0005% หรือกระป๋องละ 0.0029 บาท และเครื่องแบบนักเรียน เพิ่ม 0.0132% หรือตัวละ 0.0222 บาท
“ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในตรวจสอบการค้าขายทุกช่วงการค้าอย่างใกล้ชิด ทั้งจากโรงงานไปจนถึงตัวแทนจำหน่าย ผู้ค้าส่ง และผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาหากค่าเอฟทีปรับขึ้นจริง และยังได้จัดส่งสายตรวจออกตรวจสอบราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด โดยในกรุงเทพฯ มี 9 สาย และในต่างจังหวัดมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัด และการค้าภายในจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ”
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบว่ามีการฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภค เช่น ผู้ค้าปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้าสูงเกินจริง ไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้าชัดเจน หรือปิดป้ายแสดงราคา แต่ขายไม่ตรงกับป้ายแสดงราคา ขอให้ร้องเรียนผ่านสายด่วนกรมการค้าภายใน โทร.1569 ซึ่งกรมการค้าภายในจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบทันที หากพบการกระทำความผิดจริง จะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนการรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ในช่วงปีงบประมาณ 60 (เดือน ต.ค.2559-มิ.ย.60) ว่า มีการเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 1,891 ราย โดยเป็นการร้องเรียนหมวดอาหารและเครื่องดื่มมีราคาแพงสูงสุดถึง 770 ราย รองลงมาคือ หมวดของใช้ส่วนบุคคล 326 ราย หมวดเกษตรกรรม 226 ราย บริการ 96 ราย ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 75 ราย ยานยนต์และอุปกรณ์ 28 ราย ของใช้ประจำบ้าน 27 ราย วัสดุก่อสร้าง 20 ราย กระดาษและเครื่องเขียน 17 ราย เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 16 ราย และอื่นๆ 290 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายปลีก รองลงมาเป็นการจำหน่ายราคาแพง เอาเปรียบเครื่องชั่ง แสดงราคาจำหน่ายปลีกไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย ปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้น กดราคารับซื้อสินค้าเกษตร กักตุนสินค้า เป็นต้น
“เมื่อรับเรื่องร้องเรียนเข้ามาแล้ว ขอให้มีการไปตรวจสอบทุกกรณี และหากพบพ่อค้าแม่ค้าเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคจริง ก็ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่าง และให้รู้ว่ากระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอย่างจริงจังในการดูแลปัญหาปากท้องให้กับประชาชน”.