
ยุคนี้การ "ขายสวย" ต้องแข่งกันมากกว่าแพ็คเกจจิ้งและจำนวนสี เพราะเกมของเครื่องสำอางไม่ได้อยู่แค่หน้าช็อปหรือชั้นวางของร้านอีกต่อไป แบรนด์ต้องเข้าใจการนำเสนอ "ความสวยแบบใหม่" ที่ไม่ได้หมายถึงแค่รูปลักษณ์ แต่คือการแสดงออกถึง “ตัวตน” และ “ความมั่นใจ” ในแบบของตัวเอง
แบรนด์เครื่องสำอางยุคนี้จึงไม่ได้แข่งกันที่แค่คุณภาพหรือราคา แต่แข่งกันที่ว่า…ใครจะเข้าใจความรู้สึกได้ลึกกว่ากัน โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่เติบโตมากับโซเชียลมีเดียและคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ความสวยได้กลายเป็นเครื่องมือแสดงตัวตน และแบรนด์ที่มาแรงในวันนี้จึงต้องนำเสนอ “ความเป็นฉัน” ได้อย่างชัดเจน ต้องเล่าเรื่องได้สนุก จริงใจ พอจะชนะใจคอมมูนิตี้ในโลกโซเชียล
และสองแบรนด์ที่โดดเด่นที่สุดในสมรภูมินี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ลากลาส “La Glace” และ เลิฟโพชั่น “Love Potion” จากเรื่องราวของวัยรุ่นสร้างตัว อินฟลูเอนเซอร์ครองพื้นที่ TikTok และโพสิชั่นการเจาะตลาดที่ใกล้เคียงกัน เรียกได้ว่า ทั้งสองแบรนด์ “สูสี” และกลายเป็นท็อปฟอร์มทั้งด้านยอดขายและความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
Thairath Money คอลัมน์ TRENDMARK ครั้งนี้เราอยากชวนเจาะกลยุทธ์ของสองเครื่องสำอางไทยขวัญใจ Gen Z อะไรทำให้สองแบรนด์นี้ฮิตติดเทรนด์โซเชียล ได้เสียงตอบรับจากผู้ใช้ ติดลิสต์ไอเท็มควรตำ กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่พึ่งเริ่มแต่งหน้าไปจนถึงผู้ที่หลงใหลในเมกอัพเป็นชีวิตจิตใจแห่ซื้อจนรายได้ของทั้งสองแบรนด์พากันทะลุ 400 ล้านบาท
Love Potion ก่อตั้งขึ้นโดย การ์ด หรือ ซ้อก้าด-ณัฐชยานันท์ สุขวัฒนาพร (CEO) เจ้าของช่อง TikTok @cardncyn ที่มีผู้ติดตามกว่า 9.8 ล้านคน ร่วมกับ ซุง-ณัฐชยานนท์ สุขวัฒนาพร (CMO) ยูทูบเบอร์ชื่อดังเจ้าของช่อง Starwin Narkthongpet ที่มีผู้ติดตามกว่า 3.7 ล้านคน
ทั้งสองเริ่มต้นขายสินค้าออนไลน์ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อหารายได้เสริมช่วยเหลือครอบครัวของตัวเอง กระทั่งเริ่มต้นแบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางร่วมกันในปี 2557 (11 ปี) โดยมีไอเทมชิ้นแรก คือ “Grape Soap” สบู่องุ่นสำหรับทำความสะอาดใบหน้า ปัจจุบันสินค้าภายใต้แบรนด์ Love Potion มีทั้งกลุ่มสกินแคร์นำโดยเซรั่ม ครีมแคคตัส น้ำหอม และกลุ่มเครื่องสำอางนำโดย ลิปออยล์ และบลัชออน โดยล่าสุดแบรนด์ก็เพิ่งขยายสู่ธุรกิจเครื่องดื่มในปีนี้
ความสำเร็จของการปั้นแบรนด์ Love Potion มาจากการสร้าง Storytelling โดยนำเอา Personal Branding ที่ชูเจ้าของแบรนด์อย่าง ก๊าด และ ซุง เป็นจุดขาย ซึ่งทั้งสองมีฐานผู้ติดตามเดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มนักเรียนชั้นประถมถึงมัธยมมาต่อยอดกลายเป็นคาแรกเตอร์แบรนด์อย่างชัดเจน
Love Potion ใช้ “กลยุทธ์ขายความเรียล” ผ่านคอนเทนต์ชีวิตประจำวันที่ทำให้ ก๊าด กลายเป็นที่รู้จัก การเป็นตัวของตัวเอง แต่งตัวเซ็กซี่แล้วโดนเพื่อนด่า วิธีบริหารเงินของซ้อก๊าด การขายแบรนด์เนมในราคา 5 บาท 10 บาท หรือแม้กระทั่งการเป่ายิงฉุบชนะแล้วจ่ายหนี้ให้ กลายเป็นไวรัลทั่วทั้งโซเชียลมีเดีย ทำให้แบรนด์ต่อยอดเรื่องราวที่เรียบง่ายแต่เข้าถึงใจได้อย่างง่ายดาย เช่น การนำเสนอเรื่องราวเบื้องหลังการทำแบรนด์ การไลฟ์ขายของ การสู้ชีวิตของทีม ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและสะท้อนให้เห็นความตั้งใจของเจ้าของแบรนด์ในการขายของดี แถมราคายังจับต้องได้
อีกฝั่งของสมรภูมิที่ใช้กลยุทธ์ตรงข้ามกับ Love Potion แต่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นเช่นเดียวกัน La Glace ที่ก่อตั้งโดย ไอติม-เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์ (CEO) บิวตี้บล็อกเกอร์เจ้าของช่อง TikTok/IG @itimbaebie ที่มีผู้ติดตามกว่า 6.6 แสนคน ร่วมกับ เฟรนฟราย-ทิวาทัพพย์ ธรารักษ์อนันต์ (CMO)
จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการสร้างธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยและได้ตัดสินใจปั้นแบรนด์เครื่องสำอางร่วมกันในปี 2560 (8 ปี) โดยมีไอเทมชิ้นแรก คือ “เบสหน้าเนียน La Glace” โดยปัจจุบันสินค้าภายใต้แบรนด์ La Glace มีมากกว่า 80 SKU ประกอบไปด้วย กลุ่มเครื่องสำอางที่มีสินค้าดาวเด่นอย่าง บลัชออนที่เปลี่ยนสีตามค่า pH ผิว ลิปบาล์มแท่งเขียว รวมถึงกลุ่มสกินแคร์และกลุ่มมาสก์ชีทที่กำลังดันเข้าสู่ตลาด
ความสำเร็จของการปั้นแบรนด์ La Glace เริ่มต้นจากนำเอา Personal Branding ที่ชูเจ้าของแบรนด์อย่าง ไอติม ในฐานะเน็ตไอดอลสายบิวตี้ที่มีสไตล์ชัดเจน เช่น สวย มั่นใจ แต่งตัวเก่ง มีเอกลักษณ์ของตัวเอง มาเป็นสารตั้งต้นในการขายและการทำการตลาดที่สอดคล้องไปกับคาแรกเตอร์ของแบรนด์
อย่างไรก็ตามแบรนด์ได้ปรับภาพลักษณ์และทิศทางการตลาดใหม่เพื่อสร้างเอกลักษณ์และจุดยืนของแบรนด์เอง พร้อมทั้งขยายการรับรู้ที่มากกว่าตัวของ ไอติม โดย La Glace วางจุดยืนที่ใหญ่ขึ้นด้วย “ปรัชญาของแบรนด์” ซึ่งต้องการเป็นตัวแทนของ Underground Beauty หรือ “ความสวยที่ไร้กรอบ” ขอแค่มั่นใจในแบบของตัวเอง พร้อมกับเป้าหมายที่ต้องการสร้างคัลเจอร์การแต่งหน้า การดูแลผิวที่สร้างความมั่นใจให้กับทุกคน ซึ่งสอดคล้องไปกับเทรนด์ความงามและทัศนคติของคนรุ่นใหม่
La Glace และ Love Potion ที่มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ต่างใช้จุดแข็งของตัวเองเป็นสารตั้งต้นที่ดี ทั้งสองยึดการสร้างความสัมพันธ์แบบ 'แบรนด์สู่พื่อน' ที่สร้างการมีส่วนร่วมและทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายกว่า สะท้อนให้เห็นว่าโพสิชั่นของแบรนด์ยุคใหม่ที่ต้องไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องอยู่กับลูกค้าแบบเพื่อนที่เชื่อใจได้ ชมได้ ติได้ แม้มีจุดผิดพลาดก็ขอโทษอย่างจริงใจ ไม่หนีปัญหาและเลือกรับผิดชอบเต็มที่ผ่านช่องทางของตนเอง
Love Potion และ La Glace ใช้กลยุทธ์และการสื่อสารที่ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้าของตัวเองซึ่งเป็นผู้บริโภคยุคใหม่อย่างถูกจุด โดยเน้น 2 สิ่งสำคัญในการสร้างฐานลูกค้าให้แข็งแรงและยั่งยืน คือ การเจาะกลุ่มลูกค้าอย่างแม่นยำ โดยการโฟกัสกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยทำงานที่สนุกกับการแต่งหน้า และขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ไปพร้อมกับการตั้งราคาที่เป็นมิตรต่อกำลังซื้อ
ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองแบรนด์ยืนหนึ่งในใจ Gen Z และมีฐานแฟนคลับแบรนด์ที่เหนียวแน่น บทสรุปจากสองแบรนด์ที่พอจะบอกอะไรกับเราได้ในการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดบิวตี้สุดแมส นั่นคือ การจะ 'ขายสวย' ให้ปังในยุค Gen Z ไม่ใช่เรื่องของความหรูหรา ความพรีเมียม หรือ คุณภาพ เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่แบรนด์ต้องนำเสนอว่าตนเข้าใจใน 'ตัวลูกค้า' ตั้งแต่ ตัวสินค้า ไม่ว่าจะเป็น คุณสมบัติ ดีไซน์ คอนเทนต์ ราคา วิธีการขาย ไปจนถึง 'เจ้าของแบรนด์' ที่แสดงความจริงใจออกมาอย่างแท้จริง
รายได้ 5 ปีย้อนหลังของ La Glace บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด
รายได้ 5 ปีย้อนหลังของ Love Potion บริษัท เลิฟโพชั่น จำกัด
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -