
ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยในประเทศไทย ถูกนำกลับมาพูดถึงอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยบรรดานักธุรกิจที่อยู่ในระดับบนสุดของยอดพีระมิดในสังคมไทย
ที่สำคัญก็คือ ประเด็นความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยนี้ ถูกนำไปขยายความกันอย่างกว้างขวางในช่วงระหว่างที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังพาประเทศไทยไปสู่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยตามที่ทุกฝ่ายต้องการ
นั่นจึงทำให้มีการออกมาถกเถียงกันมากว่า ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจาก CS Global Wealth Report 2018 ของ เครดิตสวิส Private Banking และ ผู้นำในการบริหารความมั่งคั่ง สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งออกมาเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยระบุว่า ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลกไปแล้ว เมื่อนับอันดับด้านความมั่งคั่ง (wealth) จากที่ประเทศไทยเคยอยู่อันดับ 3 ในการสำรวจเมื่อสองปีก่อน แต่ปัจจุบันกลับแซงหน้าความเหลื่อมล้ำของรัสเซียและอินเดีย ไปยืนห่างจากทั้งสองประเทศเป็นอันดับ 1
ตามข้อมูลนี้ ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยถูกระบุว่า 1% ของคนรวย มีสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้น 66.9% วิ่งแซงหน้าประเทศต่างๆที่คนรวยๆส่วนใหญ่มีสินทรัพย์ลดลง
เมื่อหันไปดูคนไทยที่ยากจน 10% มีทรัพย์สินเท่ากับ 0% ถ้านับหนี้ด้วยก็อาจติดลบ เป็นเรื่องน่ากังวลขอแสดงความห่วงใยในเรื่องนี้ก็คือตัวเลขต่างๆสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยครึ่งประ เทศเป็นพวก “หาเช้ากินค่ำ” หรือไม่ก็ “เดือนชนเดือน” ไม่มีเหลือเก็บออม แถมกำลังจะแก่ก่อนมีเงินออมด้วยซ้ำ
“และถ้าไปดูตัวเลขดัชนีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค GINI Coefficient Index ด้านความมั่งคั่ง (มาตรวัดการกระจาย ที่ค่าสูงสุด 100 หมายถึงคนเดียวเอาไปหมด ถ้า 0 แปลว่าทุกคนเท่ากันหมด) ตามตาราง 6.6 เป็นเครื่องยืนยันว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เพราะ GINI เราสูงถึง 90.2 ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นสถิติโลกที่คงหาคนทำลายได้ยาก” นายบรรยง พงษ์พานิช ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ภัทร เขียนถึงเรื่องนี้ในสื่อโซเชียล
ทีมเศรษฐกิจ เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำในระหว่างคนจน กับคนรวยในประเทศไทยเป็นปัญหาจริง และเป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องแก้ไข เราจึงตามหาความจริงของเรื่องนี้จากผู้ที่มีหน้าที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยมีความมั่งคั่ง นั่นก็คือ สำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นั่นเอง
ที่ผ่านมาการวัดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยจะใช้วิธีการวัดตามมาตรฐานของธนาคารโลก โดยวัดจากดัชนี GINI Coefficient Index ซึ่งธนาคารโลกใช้ในการวัดความเหลื่อมล้ำ วัดจากดัชนี GINI Coefficient Index ซึ่งธนาคารโลกใช้ในการวัดความเหลื่อมล้ำในประเทศต่างๆ 110 ประเทศ
ดัชนี GINI มี 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.GINI ด้านรายได้ และ 2.GINI ด้านรายจ่าย โดยค่าดัชนีดังกล่าวจะมีค่าระหว่าง 0–1 หากค่าดัชนี GINI มีระดับต่ำจะแสดงถึงการกระจายรายได้และรายจ่าย อยู่ในระดับดีกว่าค่า GINI ที่มีค่าสูง
กรณีของประเทศไทย การคำนวณค่าดัชนี GINI ทั้ง 2 ลักษณะจะใช้ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) สำรวจข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ระดับฐานรายได้ต่างๆกัน จำนวน 52,010 ครัวเรือน ซึ่งการสำรวจรายได้จะดำเนินการทุก 2 ปี
ขณะที่การสำรวจรายจ่ายจัดทำทุกปี จากข้อมูลล่าสุดปี 2560 พบว่า ค่า GINI ด้านรายได้ของไทย คิดเป็น 0.453 หรือ 45.3% และค่า GINI ด้านรายจ่าย คิดเป็น 0.364 หรือ 36.4% หากเปรียบเทียบแนวโน้มของสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยค่า GINI ด้านรายได้ลดลงจาก 0.499 ในปี 2550 เป็น 0.453 ในปี 2560 และค่า GINI ด้านรายจ่ายลดลงจาก 0.398 ในปี 2550 เป็น 0.364 ในปี 2560
ส่วนสถานการณ์ด้านความแตกต่างของรายได้ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงที่สุดและกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยที่สุด มีแนวโน้มแคบลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจาก 25.10 เท่าในปี 2550 เป็น 19.29 เท่า ในปี 2560 และความแตกต่างของรายจ่ายระหว่างกลุ่มประชากรที่มีรายจ่ายสูงที่สุดและกลุ่มประชากรที่มีรายจ่ายน้อยที่สุด มีแนวโน้มแคบลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจาก 11.70 เท่า ในปี 2551 เป็น 9.32 เท่า ในปี 2560
จากข้อมูลทั้ง 2 ส่วนข้างต้น แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ ทั้งในส่วนของรายได้และรายจ่ายระหว่างประชากรกลุ่มต่างๆของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในประเทศยังมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดำเนินการผ่านมาตรการต่างๆของภาครัฐ เพื่อให้ประชากรในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีการกระจายรายได้จากกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงไปสู่ประชากรกลุ่มต่างๆดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
การจัดอันดับความเหลื่อมล้ำของประเทศต่างๆที่ดำเนินการโดยธนาคารโลกนั้นใช้ค่าดัชนี GINI coefficient เป็นตัวชี้วัด ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทย มีอันดับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยปี 2556 ประเทศไทยมีค่าดัชนี GINI coefficient ด้านรายจ่ายอยู่อันดับที่ 46 จาก 73 ประเทศ และปรับตัวดีขึ้นเป็นอันดับที่ 40 จาก 67 ประเทศในปี 2558 โดยจำนวนประเทศในแต่ละปีจะไม่เท่ากัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านข้อมูลของประเทศต่างๆ ซึ่งมีทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศที่กำลังพัฒนา
และจากข้อมูลล่าสุดของธนาคารโลก ค่า GINI ของไทยอยู่ที่ 0.36 และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ อังกฤษ มีค่า GINI อยู่ที่ 0.33 สหรัฐอเมริกา มีค่า GINI อยู่ที่ 0.41 ซึ่งจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างกันมากกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
สำหรับกรณีการวัดความเหลื่อมล้ำของรายงาน CS Global Wealth Report 2018 นั้น เป็นการวัดการกระจายความมั่งคั่ง (Wealth Distribution) โดยประเทศที่มีข้อมูลการวัดกระจายความมั่งคั่งสมบูรณ์มีเพียง 35 ประเทศ
ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ ฝรั่งเศส อิตาลี สวีเดน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์และจีน
ส่วนของประเทศไทยไม่มีการจัดเก็บผู้ทำการวิจัย ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน จึงใช้ข้อมูลการประมาณการทางเศรษฐมิติ บนสมมติฐานว่าการกระจายความมั่งคั่ง มีความสัมพันธ์กับการกระจายรายได้ ของ 133 ประเทศรวมทั้งไทยด้วย ถือเป็นการประมาณการอย่างหยาบ
นอกจากนั้น กรณีของประเทศไทย ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม 133 ประเทศ ที่ไม่มีข้อมูลการถือครองความมั่งคั่ง แต่มีข้อมูลการกระจายรายได้ และใช้ข้อมูลเมื่อปี 2549 ขณะที่ข้อมูลของประเทศอื่นๆเป็นข้อมูลของปีที่มีความแตกต่างหลากหลายกันไป
ซึ่งต่างจากชุดข้อมูลธนาคารโลกที่ส่วนใหญ่จะเปรียบเทียบในช่วงปีเดียวกัน
ดังนั้น การวัดการกระจายความมั่งคั่งตามที่ปรากฏนั้น ไม่สะท้อนสถานการณ์ของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับการวัดจากข้อมูลสำรวจจริงตามมาตรฐานของธนาคารโลก ที่ประเทศไทยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2531
เพราะฉะนั้นสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทย จากการสำรวจข้อมูลจริง ใช้วิธีการวัดที่เป็นมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลโดยธนาคารโลกนั้น ประเทศไทย มิได้มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุด อย่างที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์แต่อย่างใด ในทางกลับกันสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทั้งด้านรายได้และรายจ่ายของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ
อย่างไรก็ดี การลดความเหลื่อมล้ำและความแตกต่างของรายได้ เป็นเรื่องที่ภาครัฐให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมมากขึ้น ผ่านกลไกของภาครัฐและความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างอาชีพและรายได้ การจัดสวัสดิการทางสังคม ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และที่อยู่อาศัย
โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยมีการกระจายรายได้ ในด้านความแตกต่างของรายได้ระหว่างประชากร 10% ที่มีรายได้สูงที่สุดต่อประชากร 10% ที่มีรายได้น้อยที่สุดไม่เกิน 15 เท่า จากปัจจุบัน 22 เท่า ภายในปี 2580 หรือมีค่า GINI coefficient ด้านรายได้ในระดับ 0.36.
รัฐบาลวางแนวทางเชิงรุกแก้ปัญหา
การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในส่วนของรัฐบาลชุดนี้ ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2561 ได้เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาความยากจน
กำหนดให้มีคณะกรรมการ 2 ชุด ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการนโยบายการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน (กนล.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน 2.คณะกรรมการบริหารการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาความยากจน (กบล.) มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และให้จัดตั้งสำนักงานบูรณาการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน อยู่ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เนื้อหาสำคัญที่ 2 คณะกรรมการ และ 1 สำนักงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่ คือ การเป็นหัวหอกในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและปัญหาความยากจนให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
เนื่องจากในแต่ละปีที่ผ่านๆมา รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณปีละ 800,000 ล้านบาท เพื่อนำมาแก้ปัญหานี้อยู่แล้ว แบ่งออกเป็น งบประมาณด้านการจัดสวัสดิการต่างๆรวม 500,000 ล้านบาท เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ประกันสังคม กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา สวัสดิการของเด็ก ผู้สูงอายุและคนพิการ และอีก 300,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณตามหน้าที่หรือฟังก์ชัน ที่แต่ละกระทรวงได้จัดสรรงบประมาณใช้สำหรับดูแลประชาชนในโครงการต่างๆ เช่น ขุดบ่อ ขุดคลอง งบประมาณเพื่อการพัฒนาชนบท เป็นต้น
ต่อจากนี้ไปการทำงานจะต้องเป็นเชิงรุกและเป็นระบบ คงต้องลงไปชำแหละดูว่างบประมาณ 800,000 ล้านบาทได้ใช้อย่างถูกที่ ถูกทาง และถูกคน ตามวัตถุประสงค์ของการแก้ปัญหาความยากจน อันจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำได้จริงหรือไม่ โดยจะมีการประเมินประสิทธิภาพโครงการต่างๆว่าตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำมากน้อยแค่ไหน ตรงเป้าหมายหรือไม่ซ้ำซ้อนกันหรือเปล่า พร้อมกับดูเพิ่มเติมด้วยว่า งบประมาณในปีต่อไป ควรจะไปลงที่โครงการใด เพื่อยกประสิทธิภาพการใช้เงิน 800,000 ล้านบาทให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ในอนาคตจะมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่เด็กเล็กซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ และผู้สูงอายุที่จะมีจำนวนมากขึ้นแต่จะมีรายได้ลดลง ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
เมื่อเจาะลึกลงไปที่คณะกรรมการชุดแรก กนล.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กำหนดให้มีอำนาจกำหนดกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ วางแนวทาง หลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินงานการบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจนในทุกมิติและทุกระดับ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานเสนอแนะต่อ ครม.
ส่วนกรรมการอีกชุด กบล. ที่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะต้องไปกำหนดกรอบตัวชี้วัดด้านความเหลื่อมล้ำทางสังคมของประเทศ เสนอแนวทาง หลักเกณฑ์ และแผนปฏิบัติการในการบูรณาการพิจารณากลั่นกรองแผนงานและงบประมาณกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งจัดทำแก้ไขกฎหมายและมาตรการต่างๆเพิ่มเติม
รัฐบาลได้ย้ำว่าการดำเนินการครั้งนี้เป็นการปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญ ในส่วนของประชาชนก็คงต้องรอดูและอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่งมาช่วยกันประเมินว่า ผลของการปฏิรูปครั้งนี้ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้คนไทยได้จริงหรือไม่.
ทีมเศรษฐกิจ