ซอกแซกสัปดาห์นี้สืบเนื่องมาจาก “ควันหลง” กรณี “ดราม่าข้ามชาติ” เรื่อง “ดอกลำดวน” ระหว่างชาวเน็ตกัมพูชากับชาวเน็ตไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากภาพยนตร์ เรื่อง “บุพเพสันนิวาส 2” ของไทยเผยแพร่โปสเตอร์โฆษณา มีภาพพระเอกโป๊ปกับ นางเอกเบลล่าถือ “ดอกลำดวน” และมีข้อความ “ดอกลำดวน แทนความรักที่ยั่งยืน” อยู่ด้วยเป็นเหตุให้ชาวเน็ตเขมรทักท้วงมาทำนองว่า เราเอาดอกไม้ประจำชาติของเขาไปใช้ แต่มิได้ให้เครดิต...คราวหน้ากรุณาอย่าลืมส่งผลให้ชาวเน็ตไทยเข้าไปตอบโต้ โต้ไปโต้มาจนร้อนฉี่ไปทั้งเว็บ (ข่าวว่ารวมแล้วกว่า 16,000 คอมเมนต์) ด้วยประการฉะนั้นจริงๆเรื่องราวดูเหมือนจะเงียบไปแล้วละ ในขณะที่ภาพยนตร์ก็ออกฉายแล้วแต่เนื่องจากหัวหน้าทีมซอกแซกที่เขียนถึงเรื่องนี้ไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีข้อมูลเกี่ยวกับ “ดอกลำดวน” กับคนไทยและวัฒนธรรมไทย หลงเหลืออยู่อีกหลายแง่มุม เพราะวานน้องๆไปค้นมาให้ แต่ใช้แค่นิดเดียวเท่านั้น จึงขออนุญาตเอามาขยายต่อในวันนี้โดยไม่มีความตั้งใจที่จะถกเถียงหรือโต้แย้งว่าใครเป็นเจ้าของ “ดอกลำดวน” แต่ประการใด เพียงแต่เพื่อยืนยันว่าดอกไม้นี้ขึ้นอยู่ในภูมิภาคนี้ และในประเทศไทยเราด้วยมาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน จนคนไทยรู้จักอย่างดีและได้พรรณนาความถึงดอกลำดวนเราไว้ใน “วรรณคดี” และกาพย์กลอนต่างๆมานับเป็นร้อยๆปีแล้วต้องขอขอบคุณนิตยสาร “หมอชาวบ้าน” ที่ได้นำข้อเขียนของคุณ “เดชา ศิริภัทร” ในหัวข้อ “ลำดวน สัญลักษณ์แห่งไม้ใกล้ฝั่ง” มาลงตีพิมพ์ในฉบับที่ 311 เดือนมีนาคม 2548ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ “ดอกลำดวน” ที่มีประโยชน์ในฐานะเป็นยารักษาโรคตามตำรับแพทย์แผนไทยเอาไว้อย่างครบถ้วน รวมทั้งได้ขยายความย้อนไปถึงประวัติความเป็นมาของดอกลำดวนในประเทศไทย ยาวไกลไปจนถึงยุคต้นๆของกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียวโดยยกโคลงสี่สุภาพจากวรรณคดีเรื่อง “ลิลิตพระลอ” ที่ว่า “ยามไร้เด็ดดอกหญ้า แซมผม พระเอย” ไปจนถึง “หอมบ่หอมทัดดม ดั่งบ้า” และจบลงที่ “สุกรมลำดวนชม เชยกลิ่นพระเอย...หอมกลิ่นเรียมโอ่อ้า กลิ่นแก้ว ติดใจ”เปรียบเทียบ “ดอกหญ้า” กับดอกไม้หอมต่างๆ รวมทั้ง “ดอกลำดวน” เอาไว้อย่างไพเราะ อ่านแล้วแทบจะได้กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกอย่างไรอย่างนั้นแม้ทุกวันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณคดีและประวัติศาสตร์ไทยจะยังไม่สามารถสรุปความเห็นได้ชัดเจนว่า “ลิลิตพระลอ” แต่งขึ้นในยุคใดแน่ เพราะในการสันนิษฐานนั้น บ้างก็ว่าแต่งในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1991-2006) ประมาณ 500 ปีเศษบ้างก็ว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231) หรือประ มาณเมื่อ 300 กว่าปีเศษๆแต่ก็มีบางรายที่สันนิษ ฐานว่าแต่งในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี่แหละน่า ซึ่งถ้าเป็นตามนั้นก็ประมาณ 200 กว่าปีแต่ไม่ว่าจะลงเอยที่ยุคไหนก็แปลว่า คนไทยรู้จักและชื่นชม “ดอกลำดวน” ถึงขั้นแต่งลงวรรณคดี “ลิลิตพระลอ” มานานมากตั้งแต่ 500 ปีก่อนโน้น ลงมาจนถึง 200 ปีเป็นอย่างน้อย สุดแต่จะสรุปว่าวรรณคดีเรื่องนี้แต่งขึ้นในปีใดจาก ลิลิตพระลอ ก็มาถึง กาพย์ห่อโคลง ชุด “นิราศธารโศก” ที่นิพนธ์โดย เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร หรือ เจ้าฟ้ากุ้ง โดยเฉพาะท่อนที่เป็นกาพย์นั้นมีใจความว่า“ลำดวนเจ้าเคยร้อย...กรองเป็นสร้อยลำดวนถวาย...เรียงดมชมสบาย...พี่เอาสร้อยห้อยคอนาง”อีกหนึ่งบทของ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร เช่นกัน ในกาพย์เห่เรือชุด “ชมดอกไม้” ที่พรรณนาถึงไม้ดอกอันสวยงาม และไม้กลิ่นหอมต่างๆ เรื่อยมาจนถึงดอกลำดวน...ดังนี้“ลำดวนหวนหอมตระหลบ กลิ่นอายอบสบนาสา นึกถวิลกลิ่นบุหงา รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง”จากบทกวีของเจ้าฟ้ากุ้ง 2 บทดังกล่าว ก็แสดงว่าอย่างน้อยคนไทยเรารู้จัก “ดอกลำดวน” มาไม่ต่ำกว่า 260 ปีแน่นอน เพราะเจ้าฟ้ากุ้งสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2293 ยุคปลายๆของกรุงศรีอยุธยาอีก 1 บทที่มีการค้นพบเป็นกลอนแปดของบรมครู “สุนทรภู่” ใน “นิราศเมืองแกลง” ที่ท่านแต่งไว้ว่า “มีกลิ่นปรางนางปนสุคนธ์รื่น คิดถึงคืนเคียงน้องประคองสม ถอนสะอื้นยืนเด็ดลำดวนดม พี่นึกชมต่างนางไปกลางไพร”ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อีกชิ้นหนึ่งว่า คนไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์รู้จักและชื่นชมดอกลำดวนอย่างดียิ่ง จนแม้แต่ สุนทรภู่ ก็นำมาเขียนถึงในนิราศชุดนี้ของท่าน ซึ่งแต่งไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2349 หรือ 200 ปีเศษที่ผ่านมากล่าวโดยสรุปเท่าที่ทีมงานซอกแซกสายวรรณคดีใช้เวลาค้นหาเพียงไม่นานนัก ก็พบหลักฐานมากมายว่าคนไทยเรารู้จักดอกลำดวนมานานมาก เป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า “ต้นลำดวน” เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกอยู่ในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณกาลเข้าใจว่า ชาวเน็ตกัมพูชาที่เข้ามาประท้วง อาจเป็นชาวเน็ตรุ่นใหม่ที่ทราบแต่เพียงว่า รัฐบาลของตนได้ประกาศให้ “ดอกลำดวน” เป็นดอกไม้ประจำชาติเมื่อ พ.ศ.2548แต่สำหรับคนรุ่นเก่าชาวกัมพูชาที่ไปมาหาสู่ติดต่อค้าขาย รวมถึงติดตามความเคลื่อนไหวของประเทศไทยมานาน ย่อมทราบถึงความเป็นมาเป็นไปของดอกลำดวนในประเทศไทย และในอาเซียนเป็นอันดีอยู่แล้วก็กลับมาสู่ประเด็นว่าด้วยวัฒนธรรม “อุษาคเนย์” และพืชพันธุ์ธัญญาหาร “อุษาคเนย์”ซึ่งมักจะมีอะไรคล้ายๆกัน เพราะเราอยู่ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน ใกล้ชิดติดกันเล่นสงกรานต์เหมือนๆกัน ปลูกข้าวคล้ายๆ กัน มีพิธีแรกนาขวัญเหมือนกัน มีไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้นคล้ายๆกัน แม้นาฏศิลป์ระบำรำฟ้อนก็ไม่หนีกันมากนัก ฯลฯแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ และหันมาสร้างความภาคภูมิใจใน “สมบัติแห่งอุษาคเนย์” ทั้งหลายร่วมกันน่าจะดีกว่าทะเลาะกันหรือแย่งกันเป็นเจ้าของคนเดียวนะครับผมว่า.“ซูม”