คนทั่วไปน่าจะรู้จักประชากร Nomad จากภาพยนตร์ Nomadland ซึ่งสร้างจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงตามที่บันทึกไว้ในหนังสือแนวสารคดีชื่อ Nomadland : Surviving America in the Twenty-First Century ของ เจสสิกา บรูเดอร์ ซึ่งบอกเล่าสิ่งที่ต้องเรียกว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์’ หลังภาวะฟองสบู่แตกช่วงปลายทศวรรษ 2000 ที่คนรุ่นบูมเมอร์เรือนหมื่นเรือนแสน เลือกรูปแบบการใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายด้วยการตะลอนไปเรื่อยๆบนรถอาร์วี (RV) เคลื่อนที่ในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของอเมริกา และระหว่างนั้นก็หาเลี้ยงตัวเองด้วยหน้าที่การงานที่มีลักษณะชั่วครู่ชั่วยามไม่ต่างอะไรกับคนในสมัยปัจจุบันที่ผันตัวเองเป็น Digital Nomad หรือกลุ่มคนที่แสวงหาความท้าทายในชีวิตด้วยรูปแบบงานใหม่ๆ งานวิจัย กองวิจัยการตลาดการท่องเที่ยว (ททท.) ตีพิมพ์บทความว่าด้วย ประชากร Digital Nomad ระบุว่า คือผู้ที่ทำงานอิสระพร้อมกับเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ โดยมีที่ทำงานเป็นร้านกาแฟ หรือ Co-working Space โดยใช้อุปกรณ์สามารถที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตไร้สายในการทำงานเป็นหลัก Digital Nomad ต่างจาก Freelance ตรงที่กลุ่มนี้เป็นนักเดินทาง คือมีการเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับการทำงานผ่านระบบออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีความต่างจาก Expatriate ในหลายจุด อาทิ ลักษณะงานที่เป็นอิสระ ไม่ยึดติดกับพื้นที่สำนักงาน ทำให้กลุ่ม Digital Nomad มีลักษณะคล้ายไปกับนักท่องเที่ยวมากกว่าเป็นการทำงานที่เรียกว่า Remote Work อย่างเต็มรูปแบบจำนวนของ Digital Nomad มีแนวโน้มจะสูงขึ้น โดยในปี 2020 มี Digital Nomad ชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นเป็น 10.9 ล้านคน จาก 7.3 ล้านในปี 2019 นอกจากนี้ ในปี 2020 มีชาวอเมริกันที่กำลังวางแผนจะเป็น Digital Nomad ในอนาคตถึง 19 ล้านคน จากการศึกษากลุ่ม Digital Nomad ในประเทศอเมริกา พบว่าสิ่งที่กลุ่มนี้มองหามากที่สุดในแหล่งท่องเที่ยวคืออินเตอร์เน็ตที่เสถียร (Reliable Internet Service) ตามด้วยอากาศที่ดี (Good Weather) และค่าครองชีพที่ต่ำ (Low Cost of Living) การงดเว้นวีซ่าหรือมาตรการวีซ่าที่ไม่ยุ่งยาก (Easy Visa or None Needed) และความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยว (Destination Attraction)สำหรับที่พัก สิ่งที่ต้องการนอกเหนือไปจากอินเตอร์เน็ตที่เสถียร (Reliable Internet Service) คือสถานที่ที่เอื้อต่อการทำงาน (Suitable Workplace) ราคา (Price) ความใกล้เคียงกับแหล่งท่องเที่ยว (Close to Attraction) และสถานที่เงียบๆที่สามารถประชุมงานได้ (Quiet Room for Meeting) จากการสำรวจ Social Listening ใน Forum ที่เป็นที่นิยมของชุมชน Digital Nomad โดยบริษัท Mindtree พบว่าสิ่งที่กลุ่ม Digital Nomad กังวลเป็นอันดับต้นๆ คือการยื่นขอ Visa และใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ภาษีท้องถิ่น และความขัดแย้งทางกฎหมายต่างๆ พฤติกรรมระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวของกลุ่ม Digital Nomad‘Live Like a Local’ คือคำอธิบายพฤติกรรมของชาว Digital Nomad โดยรวม ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะนิยมใช้จ่ายในร้านค้าท้องถิ่น รับประทานอาหารในร้านท้องถิ่น พักอาศัยในโรงแรมท้องถิ่นมากกว่าโรงแรมต่างชาติ ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนทั่วไป แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นมักจะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการในพื้นที่มากกว่า กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ มาเดอิรา ประเทศโปรตุเกส ซึ่งได้สร้างเว็บไซต์ Digital Nomads Madeira Islands เพื่อให้ข้อมูลสำหรับ Digital Nomad โดยเฉพาะ รวมทั้งเป็นการสร้างแพลตฟอร์มให้กับชุมชน Digital Nomad ในพื้นที่ไปในตัว เนื้อหาเว็บไซต์จะพูดถึง Service ต่างๆ ที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสำคัญ เช่น ที่พัก (Accommodation) ที่ทำงาน (Working Space) แหล่งท่องเที่ยว (Location) โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งขอคำแนะนำจากคนในพื้นที่ที่เป็น Host ได้อีกกรณีที่น่าสนใจคือ ประเทศเอสโตเนียที่ออกมาตรการ Digital Nomad Visa ให้กับ E-Resident หรือผู้ที่ลงทะเบียนเป็นพลเมืองดิจิทัลของเอสโตเนีย ซึ่งมาตรการภาครัฐที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่ม Digital Nomad ทั้งในการเข้าเมือง ภาษีท้องถิ่น หรือการให้สิทธิประโยชน์สำหรับธุรกิจบางประเภท เช่น Tech Startup เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ในอนาคต.