เราคงจะคุ้นเคยกับเหล่าเทพเจ้าองค์ต่างๆ ที่บางครั้งก็มีรูปตอนเด็กๆน่ารักน่าหยิกออกมาให้เห็น เทพเจ้าแต่ละองค์ก็มีชีวิตวัยเด็กที่แตกต่างกันไป เรื่องราวจะมากจะน้อยก็แล้วแต่คัมภีร์ที่เขียนไว้ ซึ่งส่วนมากเหล่าเทพเจ้าต่างๆก็จะสำแดงรูปในตอนโตและมีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่ก็จะมีเทพเจ้าบางองค์ที่มีสิทธิพิเศษได้รับการเคารพรักในรูปของเด็กมาตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ก็ตาม
องค์หนึ่งที่ทุกคนต้องเคยเห็นแน่ๆก็คือ พระกฤษณะ เด็กชายผิวสีน้ำเงินที่อยู่คู่กับฝูงวัว และมีขลุ่ยอยู่ในมือเสมอ แต่ยังถือว่าไม่เข้าคอนเซปต์บทความครั้งนี้ครับ เพราะคนฮินดูก็มักจะบูชา พระกฤษณะ ควบคู่กันไปทั้งตอนเด็กและตอนโต แต่ที่รวบรวมมานี่คือเทพเจ้าที่ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ก็เด็กอยู่อย่างนั้นครับ ซึ่งทั้งสามองค์ที่รวบรวมมาล้วนเป็นดาวเด่นทางใต้ของอินเดียทั้งนั้นด้วย
กรรติเกยะ (Kartikeya) เทพเจ้าหนุ่มแม่ทัพสวรรค์
รู้จักกันดีในหลายพระนาม เช่น สกันกุมาร, มุรุคัน, เทวเสนาปติ, มหาเสนา และ สุพรามัณยะ ถือเป็นเทพเจ้าหนุ่มแห่งสงคราม ได้รับการยกย่องว่าเป็นแม่ทัพแห่งสวรรค์ เป็นที่นับถือกันมากทางใต้ของอินเดีย ในประเทศศรีลังกา สิงคโปร์ และมาเลเซีย
...
ประวัติความเป็นมาก็ไม่ธรรมดานะครับ ถือว่ามีความเก่าแก่มากอีกองค์หนึ่ง ปรากฏบนสถาปัตยกรรมย้อนไปได้มากกว่าคริสต์ศตวรรษที่ 1 เลยทีเดียว รูปที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อ ขี่นกยูง มีหอกยาวอยู่ในมือ มีเศียรเดียว แต่ดั้งเดิมมีตั้ง 6 เศียร ตามตำนานคือถูกเลี้ยงด้วยนาง มาฤตกา หรือนางดาวลูกไก่ทั้ง 6 องค์ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมบูชามากนักทางอินเดียเหนือ
ตำนานของเทพหนุ่มองค์นี้ บางทีก็ขัดแย้งกันเองบ้างทั้งๆที่อยู่ในคัมภีร์เล่มเดียวกัน อย่างใน อารัณยบรรพ ของ “มหาภารตะ” บทที่ 223-232 กล่าวว่า ทรงเป็นบุตรของ พระอัคนี กับ นางสวาหะ โดยมีเรื่องเล่าอย่างพิสดารว่า ครั้งหนึ่งพระอัคนีเดินทางไปเยี่ยมเยียนเหล่า สัปตฤษี (ฤษีทั้ง 7) ที่อาศรม แต่ดันไปถูกชะตาเหล่าบรรดาภรรยาทั้ง 7 ของฤษีซะอย่างนั้น นางสวาหะน่าจะกำลังโสดบังเอิญอยู่ที่นั่นด้วย เลยเสนอตัวยั่วยวนพระอัคนี แต่พระอัคนีไม่เล่นด้วย นางเลยแปลงร่างเป็นภรรยาของฤษีทั้ง 6 คน และร่วมหลับนอนกับพระอัคนีทีละคน ที่บอกว่า 6 คน เพราะนางสวาหะไม่สามารถแปลงเป็น นางอรุณธติ ภรรยาของ ฤษีวศิษฐ์ ได้ เนื่องจากนางอรุณธติมีตบะคุณธรรมอันแรงกล้า พระอัคนีจึงได้ร่วมหลับนอนกับนางสวาหะแค่ 6 ครั้ง หลังจากนั้นนางสวาหะก็นำน้ำเชื้อของพระอัคนีไปฝากไว้ที่กอต้นกกในแม่น้ำคงคา (อย่างนี้ก็ได้เหรอ!!!) จึงเกิดเป็นพระกรรติเกยะที่มี 6 เศียรนั่นเอง แต่ในมหาภารตะเล่มเดียวกันนี้เอง ในศัลยบรรพกับอนุศาส์นบรรพ กลับกล่าวว่า พระองค์เป็นบุตรของ พระศิวะ กับ พระแม่ปารวตี ยิ่งสนับสนุนทฤษฎีที่ว่ามหากาพย์เรื่องยาวนี้ไม่ได้มีคนแต่งเพียงคนเดียว
ในขณะเดียวกัน “รามายณะ” บทที่ 36-37 กล่าวว่า พระกรรติเกยะเป็นบุตรของ พระอัคนี กับ พระแม่คงคา บางตำนานก็กล่าวว่าพระศิวะกับพระแม่ปารวตีกำลังร่วมรักกันอยู่ อาจจะด้วยความรีบร้อนหรืออะไรไม่ทราบ ดันทำน้ำเชื้อตกลงไปบนกอต้นกกบนฝั่งแม่น้ำคงคา และถูกรักษาไว้ด้วยความร้อนของพระอัคนี ทำให้เกิดเป็นเทพเจ้ารูปงามขึ้นมา
แต่ตำนานที่ฮิตที่สุดคือตำนานที่กล่าวว่า พระองค์กำเนิดมาเพื่อปราบ ตารกาสูร ที่ขอพร พระพรหม ไม่ให้มีใครฆ่าตายนอกจากบุตรองค์แรกของพระศิวะกับพระแม่ปารวตีเท่านั้น เหล่าทวยเทพจึงต้องช่วยกันทำลายสมาธิของพระศิวะ ให้ลืมตามาปิ๊งรักกับพระแม่ปารวตีและมีบุตรด้วยกันให้ได้ พระกรรติเกยะจึงได้ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพสวรรค์และเทพแห่งสงครามไปโดยปริยาย
ในสกันทะปุราณะถึงกับกล่าวว่าพระองค์ทรงหล่อที่สุดบนสรวงสวรรค์ มักจะอยู่คู่กับนกยูงอันเป็นพาหนะคู่กาย และหากสังเกตบางรูปจะมีงูอยู่ใต้ฝ่าเท้านกยูงด้วย งูนั้นมีความหมายถึงอัตตาหรืออีโก้ พระองค์ทรงอยู่เหนืออัตตาทั้งปวง ทรงมีชายาแล้วถึงสององค์ คือ นางวัลลี กับ นางเทวเสนา แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ผู้คนก็ยังเคารพสักการะพระองค์ในรูปของเด็กหนุ่มอยู่เสมอ บางครั้งก็จะอยู่ในรูปของเด็กน้อยเลยด้วยซ้ำ
...
อัยยัปปา (Ayyappa) เทพเจ้าหนุ่ม บุตรของพระศิวะกับพระวิษณุ!
เทพเจ้าหนุ่มองค์นี้เป็นเทพเจ้าแห่งการเจริญเติบโต เป็นที่นิยมมากในรัฐเกรละ ทางใต้ของอินเดีย ชื่อเพราะๆของท่านก็มี เช่น หริหระปุตร, มณีกานตศาสตะ และ ธรรมศาสตะ มักปรากฏรูปเป็นเด็กหนุ่มอยู่ในท่าโยคะ อันมีความหมายถึงสิ่งดีงามหรือธรรมะ ในอินเดียจะปรากฏว่าทรงขี่เสือ แต่ในศรีลังกาเป็นรูปเด็กหนุ่มขี่ช้างเผือก
ตำนานความเป็นมาก็ไม่ธรรมดา หากว่ากันตามตำนานจากปุราณะบางเล่มอย่าง ศรีภูตนาถปุราณะ (Shribhutanath Puran) พระองค์จะมีศักดิ์เป็นน้องชายอีกองค์ของ พระกรรติเกยะ เลยทีเดียว แต่มาจากคนละแม่ คือเกิดจาก พระศิวะ กับ นางโมหินี (อวตารของพระวิษณุ) ที่เกิดปิ๊งรักกันเสียอย่างนั้น! ซึ่งเราก็ไม่อาจทราบได้ว่าพระวิษณุจะรู้สึกอย่างไร เมื่อทั้ง 2 ปิ๊งรักกันแล้วก็เกิดเป็นเทพบุตรองค์นี้ขึ้นมา
อีกตำนานคล้ายๆกันกล่าวว่า ทรงเกิดมาเพื่อปราบ มหิงษาสูรี ญาติของ มหิงษาสูร (ที่ตายด้วยน้ำมือ พระแม่ทุรคา) แต่นางมหิงษาสูรีดันทะลึ่งขอพรว่าไม่ให้มีใครฆ่าตายได้ นอกจากบุตรที่เกิดจากพระศิวะกับพระวิษณุเท่านั้น เอาละสิ... ถึงกับงานเข้า เพราะต่างก็เป็นบุรุษด้วยกันทั้งคู่ คงมองตากันปริบๆ สุดท้ายพระวิษณุก็ต้องอวตารมาในรูปของหญิงสาวงามสะพรั่งนามว่า โมหินี เพื่อทำให้เกิดเป็นอัยยัปปาองค์นี้ขึ้นมา แต่ในตำนานมุขปาฐะของมลายาลัม กล่าวต่างออกไปว่า พระราชาแห่งอาณาจักรปัณฑลัมทรงไปพบเด็กทารกในป่า และทรงอุ้มมาที่อาศรมของนักบวชรูปหนึ่งเพื่อขอคำชี้แนะ นักบวชรูปนั้นก็แนะนำว่าให้เลี้ยงดูเด็กคนนั้นเสมือนโอรสของพระองค์เอง และเมื่อเด็กอายุได้ 12 ปี จะรู้เองว่าเด็กคนนี้เป็นใคร โดยทรงตั้งชื่อว่า มณีกานต์ (Manikanta)
...
จนกระทั่งเด็กคนนี้อายุได้ 12 ปี พระราชาต้องการสถาปนาให้ มณีกานต์ เป็นยุวราช ว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่พระมเหสีที่ถูกเป่าหูด้วยเสนาอำมาตย์ว่าโอรสแท้ๆของพระองค์ที่ควรจะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป เลยสมคบคิดวางแผนร้ายขึ้น โดยแกล้งให้พระมเหสีป่วย ทางเดียวที่จะรักษาได้คือต้องกินนมเสือเท่านั้น มณีกานต์ก็อาสาเข้าไปในป่าเอานมเสือมาให้ เด็กอายุ 12 ไปจับเสือ ต้องถูกเสือจับกินแน่นอนเชียว แต่กลายเป็นว่ามณีกานต์ขี่เสือออกมาโชว์เสียอย่างนั้น พระราชาตระหนักว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เลยตัดสินใจจะสร้างเทวาลัยขึ้น โดยให้มณีกานต์ยิงธนูไป ลูกธนูไปปักลงที่ไหนก็ให้สร้างเทวาลัยที่นั่น ปรากฏว่าลูกธนูตกห่างออกไป 30 กิโลเมตร ซึ่งก็คือวัดสัพริมลา รัฐเกรละในปัจจุบัน
แต่สุดท้ายแล้ว มณีกานต์ หรืออัยยัปปาก็ทรงสละราชสมบัติออกสู่ป่า เพื่อปฏิบัติโยคะต่อไป
และนี่ก็คือเทพเจ้าหนุ่มอีกองค์ที่ได้รับการเคารพสักการะในรูปของเด็กหนุ่มไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม และตามตำนานก็ไม่ปรากฏว่าทรงมีชายาแต่อย่างใด
...
เทวีกันยากุมารี (Devi Kanya Kumari) ผู้ผิดหวังจากความรัก เพื่อพิทักษ์โลกเทวีน้อยองค์นี้เป็นที่สักการะและรู้จักกันดีทางใต้ของอินเดีย เป็นร่างหนึ่งของพระแม่ปารวตี ซึ่งตามตำนานใช้คำว่า พระศรีภควตี (Shri Bhagavati) มาในรูปของสาวน้อยบริสุทธิ์ เทวีน้อยองค์นี้เชื่อว่าเป็นผู้กำจัดความก้าวร้าวในจิตใจของทุกคน
ตำนานกล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อยุคก่อนประวัติศาสตร์ทมิฬ พนาสูร (Banasur) ผู้เป็นใหญ่ในดินแดนนี้ เป็นอสูรที่มีพละกำลังมาก จากการทำตปัสยา คือการบังคับให้เทพเจ้าลงมาให้พรจากการทำตบะของตน พนาสูรขอพรพระพรหมว่า จะไม่มีใครฆ่ามันได้นอกจากสาวพรหมจรรย์วัยแรกแย้มเท่านั้น
หลังจากได้พรก็เป็นไปตามสเต็ป คือหวังครองสามโลก ทำเอาทั้งจักรวาลวุ่นวายไปหมด พระแม่ปารวตีจึงต้องอวตารลงไปเพื่อรักษาสมดุลของจักรวาล ณ บริเวณใต้สุดของแผ่นดินชมพูทวีป เป็นเด็กสาวที่ภักดีต่อพระศิวะ พระนางบูชาพระศิวะจนเป็นที่พอพระทัย และตกลงจะแต่งงานกับนาง เหล่าบริวารต่างก็จัดเตรียมงานแต่ง พระศิวะต้องเดินทางพร้อมขบวนเจ้าบ่าวจาก
สุจินทรัม ในเวลาอันเป็นมงคลสูงสุดช่วงเช้าตรู่ เรียกว่า พรหม มูหุรตะ
นารัทมุนี ตระหนักได้ว่าในความเป็นจริงแล้ว พนาสูร จะถูกฆ่าได้ด้วยหญิงสาวที่บริสุทธิ์และถือพรหมจรรย์เท่านั้น ท่านจึงตัดสินใจขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้ ด้วยการส่งเสียงไก่ขันหรือเจรจากับไก่ให้ขันผิดเวลาก็ไม่ทราบแน่ จนพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว และเวลาอันเป็นมงคลก็ผ่านไปแล้ว
กันยากุมารีรอแล้วรออีกขบวนเจ้าบ่าวก็ไม่มาสักที นางคิดว่านางคงต้องถูกปฏิเสธไปแล้วแน่ๆ ด้วยความรู้สึกว่าโดนดูถูกที่ยากจะรับได้ ความโศกเศร้าและความโกรธที่ปะทุขึ้นในจิตใจของนาง นางจึงเริ่มทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า โยนอาหารต่างๆในพิธีทิ้ง พร้อมกับหักกำไลข้อมืออันเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่กำลังแต่งงานทิ้งด้วย เมื่อนางเริ่มสงบลงก็ปฏิญาณว่าจะครองพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต
ในเวลาต่อมา พนาสูรหวังจะครอบครองนางด้วยวิธีต่างๆนานา สุดท้ายก็เลยต้องตายศพไม่สวยด้วยน้ำมือของหญิงสาวบริสุทธิ์ แต่วินาทีก่อนสิ้นใจมันก็ได้ขอให้เทวีอภัยให้แก่บาปของมันที่ก่อเอาไว้ หลังจากการตายของพนาสูร กันยากุมารีก็สถิตอยู่ที่นั่น ปรากฏเป็นสาวน้อยยืนถืออักษมาลา (ลูกประคำ) บนฐานที่มีรูปสิงโต อันสื่อถึงความเป็นอวตารของพระแม่ปารวตีนั่นเอง และนี่ก็เป็นเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งที่คงความเป็นเด็กมาตลอดกาล...
โดย : อารยัน
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน