ในช่วงเดือนธันวาคมเช่นนี้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูกาลหีบอ้อย หลายคนอาจได้เห็นสติกเกอร์หรือป้ายที่มีคาถาแปลกๆ เขียนไว้ว่า “นะโม ตัดสด” ผ่านตากันไม่น้อย และอาจสงสัยว่านี่คือคาถาบทใหม่ของวงการเกษตรหรือเปล่า? คำตอบคือ “ใช่” แต่มันไม่ใช่คาถาแห่งความงมงาย แต่เป็น “คาถาแห่งการเริ่มต้นที่ยั่งยืน” ซึ่ง “นะโม ตัดสด” นี้คือชื่อแคมเปญสุดสร้างสรรค์จาก “กลุ่มมิตรผล” ที่ดำเนินการต่อเนื่องสู่ปีที่สอง ต่อยอดความสำเร็จจากปีที่แล้วที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี เพื่อตอกย้ำการลงมือทำอย่างจริงจังเพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอ้อยของไทย
หัวใจสำคัญของภารกิจเชิญชวนเกษตรกรท่องคาถารักษ์โลกได้ถูกนำเสนอผ่านวิสัยทัศน์ของ นายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มมิตรผล ที่กล่าวว่า “กลุ่มมิตรผลให้ความสำคัญกับการทำไร่อ้อยอย่างยั่งยืนในทุกกระบวนการตั้งแต่การปลูก บำรุง และเก็บเกี่ยว ซึ่งการเริ่มต้นที่ยั่งยืนในฤดูหีบอ้อยนี้จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยกลุ่มมิตรผลได้มีการวางแผนอย่างรอบคอบและเหมาะสมในทุกขั้นตอนการเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งการบริหารจัดการรถตัดอ้อย การจัดลำดับแปลงอ้อย ไปจนถึงคิวรอบตัดอ้อย เพื่อให้การตัดอ้อยสดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ”
โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าวได้กลายมาเป็นการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผล สะท้อนชัดผ่านการดำเนินงานที่ทั้งมอบสีสันและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้อุตสาหกรรมอ้อยได้จริง
เพิ่มมูลค่าของเหลือ เปลี่ยนใบอ้อยให้เป็นรายได้เสริม
ในทุกๆ ปลายปีจนถึงต้นปีใหม่ คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของพี่น้องชาวไร่อ้อย หรือที่เรียกกันว่า “ฤดูหีบอ้อย” ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เฝ้าดูแลมาตลอดทั้งปีส่งเข้าโรงงาน ในอดีต หนึ่งในวิถีปฏิบัติที่คุ้นชินกันคือ “การเผาอ้อย” ก่อนตัด เพื่อกำจัดใบอ้อยแห้งที่คมและหนาแน่นออกไป ทำให้การเก็บเกี่ยวด้วยแรงงานคนทำได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
แต่วิธีดังกล่าวก็สร้างผลกระทบในวงกว้างตามมา ไม่เพียงแค่ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชน แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของอ้อย เพราะอ้อยที่ถูกเผาจะมีค่าความหวานลดลงและมีสิ่งปนเปื้อนเข้าสู่กระบวนการผลิต รวมถึงยังเป็นการทำลายหน้าดินในระยะยาวอีกด้วย จากความน่ากังวลเหล่านี้เองที่ทำให้มิตรผลมองหาทางออก และเดินหน้าสนับสนุนการตัดอ้อยสดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรไทย
หัวใจของแคมเปญ “นะโม ตัดสด” ไม่ได้จบแค่การเชิญชวน แต่คือการออกแบบกลไกที่ทำให้การตัดสดนั้น “ทำได้จริงและทำแล้วคุ้มค่ากว่าเดิม” ผ่าน โครงการรับซื้อใบอ้อย ซึ่งปีนี้เดินทางมาถึงปีที่ 8 แล้ว โครงการนี้เปลี่ยนใบอ้อยที่เคยถูกมองว่าเป็นภาระและของเหลือทิ้งให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่า นำไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือตัวเลขการรับซื้อใบอ้อยสะสมกว่า 3 ล้านตัน ที่สร้างเม็ดเงินมหาศาลกว่า 2,800 ล้านบาท กลับคืนสู่เกษตรกรโดยตรง
ใบอ้อยเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกส่งเข้าสู่โรงไฟฟ้าชีวมวลเพื่อผลิตเป็นพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“มิตรผล โมเดิร์นฟาร์ม” พลิกโฉมการทำไร่อ้อยด้วยเทคโนโลยีและความรู้
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนของมิตรผลคือการเดินหน้าส่งต่อองค์ความรู้ ทักษะ และเทคโนโลยีทางการเกษตรแบบยั่งยืนภายใต้ชื่อ “มิตรผล โมเดิร์นฟาร์ม” ที่กลุ่มมิตรผลทำต่อเนื่องมากว่าทศวรรษ เพื่อติดอาวุธให้แก่เกษตรกร โดยมีทั้งการนำนวัตกรรมและเครื่องจักรกลเกษตรสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และทำให้การทำไร่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
กลุ่มมิตรผล ได้เข้าไปทำงานกับเกษตรกรแบบลงลึกถึงการจัดการหน้างานจริง มีการวางระบบบริหารจัดการการเก็บเกี่ยวอย่างรอบคอบ ตั้งแต่การจัดคิวรถตัดอ้อย การวางแผนลำดับแปลง ไปจนถึงการบริหารคิวรอบตัด เพื่อให้มั่นใจว่าอ้อยสดทุกลำจะถูกส่งเข้าโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ได้ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพที่ดีภายใต้กรอบเวลาของฤดูหีบ
เมื่อความร่วมมือคือคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว มิตรผลเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเดินหน้าเพียงลำพัง แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน และพี่น้องชาวไร่อ้อย ที่มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน
เหตุนี้ “นะโม ตัดสด” จึงเป็นเหมือนแคมเปญที่มีหัวใจสำคัญคือ “พลังแห่งการร่วมมือ” ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ผสมผสานกับการทำงานอย่างจริงจัง และความมุ่งหวังที่จะสร้างโลกที่ดีกว่าไปด้วยกัน จากคาถาที่ฟังดูแปลกหู สู่การเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ที่ไม่ใช่แค่เพื่อผลผลิตที่ดี แต่เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับไร่ของเกษตรกร, ชุมชน, สังคม, สิ่งแวดล้อม และภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปพร้อม ๆ กัน
