มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำบทเรียนจาก “ดอยตุง” และป่าชุมชนไทยขึ้นสู่เวทีโลกในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10–21 พ.ย.2568 โดยหม่อมหลวงดิศปนัดดา
ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้นำทีมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ รัมภ์รดา นินนาท หัวหน้าสายงานความยั่งยืน, สมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature–based Solutions และโครงการพิเศษ, ดร.ธนพงศ์ ดวงมณี ผู้อำนวยการด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม และ ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature–based Solutions ร่วมสะท้อนบทเรียนจากพื้นที่จริงสู่เวทีนโยบายระดับโลก ตอกย้ำว่า
การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ที่ยั่งยืนต้องเริ่มจาก “คนและชุมชน” ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่จริง ยกระดับบทบาทองค์กรไทยในการเชื่อมโยงประสบการณ์ภาคสนามเข้ากับนโยบายระดับโลก
หม่อมหลวงดิศปนัดดาชี้ว่า หัวใจของปัญหาสภาพภูมิอากาศ (Climate) และธรรมชาติ (Nature) ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีหรือเงินทุน แต่คือผู้คนแนวหน้าที่อยู่กับป่า ทำเกษตร และดูแลระบบนิเวศ เทคโนโลยีจึงควรถูกใช้เพื่อสะท้อนคุณค่าแรงงานเชิงนิเวศของชุมชนอย่างเป็นธรรม และทำให้โลกมองเห็นบทบาทของผู้พิทักษ์ป่าไม่แพ้ภาคธุรกิจหรือรัฐ พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศต้องเชื่อม “สิทธิในที่ดิน-ความเป็นอยู่-เศรษฐกิจสีเขียว” เข้าด้วยกัน ไม่ใช่ทำแยกส่วน
ด้านตลาดคาร์บอน มูลนิธิฯผลักดันแนวคิดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเวทีสากล โดยชี้ว่าระบบในอนาคตต้องเปิดกว้าง โปร่งใสและเข้าถึงประชาชน เทคโนโลยีอย่าง tokenization และ blockchain จะช่วยให้การซื้อขายเป็นแบบเรียลไทม์ และตรวจสอบเส้นทางรายได้กลับสู่ชุมชนได้อย่างชัดเจน พร้อมเตือนว่า หากคาร์บอนเครดิตเป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินที่ชุมชนไม่ได้ประโยชน์ โลกจะยังติดอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมเช่นเดิม
ในเชิงนโยบาย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯเสนอแนวคิด “Collective Capitalism” หรือทุนนิยมที่เห็นคุณค่าร่วมระหว่างคน ชุมชนและสิ่งแวดล้อม แนะให้รัฐพิจารณาปรับงบประมาณบางส่วนด้านพลังงานหรือการอุดหนุนอุตสาหกรรม มาสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ให้ผลระยะยาว และสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก พร้อมย้ำบทบาทเยาวชนว่าเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ และต้องเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจวันนี้ เพื่ออนาคตของโลกวันหน้า
บทเรียนจากดอยตุงชี้ชัดว่า “ป่าจะอยู่ได้เมื่อคนอยู่ได้” การฟื้นฟูป่าต้องมาคู่กับทางเลือกทางเศรษฐกิจที่มั่นคง สินค้าเกษตรได้มาตรฐาน และความร่วมมือระยะยาวกับภาคเอกชน เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลดาวเทียมถูกนำมาใช้เพิ่มความโปร่งใส ทั้งการจัดการไฟป่าและโครงการคาร์บอนเครดิตของชุมชน ขณะเดียวกันการทำ Carbon Accounting (ระบบบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ต้องยึดข้อมูลจากพื้นที่จริง และเชื่อมโยงสู่มาตรฐานระดับประเทศ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของไทยบนเส้นทาง Net Zero (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์) อย่างแท้จริง
เหนือกว่านั้น สิทธิในที่ดินคือ “กระดุมเม็ดแรก” ของการพัฒนาที่ยั่งยืน หากชุมชนไม่มั่นคง ย่อมวางแผนอนาคตไม่ได้ ดอยตุงจึงเป็นตัวอย่างว่าการจัดการสิทธิอย่างเป็นธรรม คือฐานสำคัญของเศรษฐกิจสีเขียวจากฐานราก และเป็นบทเรียนที่โลกเรียนรู้ได้.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่
