- ใช้ประโยชน์จาก "เปลือกทุเรียน" ให้เป็นอาหารสัตว์เพื่อช่วยโลก
- อาหารผสมสำเร็จที่มีเปลือกทุเรียน สัตว์ตระกูลเคี้ยวเอื้องสามารถกินได้หมด
ของโปรดแสนอร่อยอย่าง "ทุเรียน" แม้รสชาติจะถูกใจจนใครหลายคนหลงรัก แต่สิ่งที่เหลือไว้อย่าง เปลือกทุเรียน กลับเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหาให้โลก เนื่องจากกำจัดได้ยาก และยังเป็นขยะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี โดยเฉพาะการทำทุเรียนแปรรูปไม่ว่าจะเป็น ทุเรียนกวน, ทุเรียนทอด ส่งผลให้มีเปลือกทุเรียนเหลือทิ้งจำนวนมาก ซึ่งพบว่าการบริโภคทุเรียน 1 ตัน จะมีเปลือกทิ้งประมาณ 585 กิโลกรัม ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์จาก "เปลือกทุเรียน"
ขณะที่ ผศ.ดร.ซารีนา สือแม ร่วมกับ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เล็งเห็นปัญหา เปลือกทุเรียนในวิสาหกิจชุมชน พบว่าการทำทุเรียนกวนของที่นี่ ส่งผลให้มีขยะเปลือกทุเรียนถูกทิ้งโดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อะไรประมาณ 30 ตันต่อวัน จนทำให้กลายเป็นกองขยะกองโต ยิ่งทุเรียนบางลูกที่เสียแล้วจะมีหนอนเจาะ ชาวบ้านก็จะทิ้งรวมกับเปลือกทุเรียน ยิ่งทำให้เป็นที่หมักหมมเยอะ
ผศ.ดร.ซารีนา เผยว่า เมื่อเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงเก็บข้อมูลประมาณ 1 ปี เพื่อหาวิธีลดประมาณขยะจากเปลือกทุเรียน โดยใช้ประโยชน์จากเปลือกทุเรียนในด้านอาหารสัตว์ เนื่องจากเปลือกทุเรียนสดมีระดับโปรตีนรวม 4.64% และพลังงาน 5,003.86 Kcal/kg ซึ่งสูงพอสมควร จึงเริ่มจากการลองใช้แทนหญ้า เพราะคนในพื้นที่ก็ใช้หญ้าเลี้ยงวัว เลี้ยงแพะกันอยู่แล้ว
จากนั้นได้นำเปลือกทุเรียนมาปรับปรุงคุณภาพด้วยการหมัก โดยการเสริมยีสต์ เกลือ และโซเดียมไนเตรทปริมาณ 1% โดยน้ำหนัก เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพและต้นทุนในการหมัก ซึ่งเปลือกทุเรียนหมักทั้งสามสูตรอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสามารถนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ได้ตามมาตรฐานของกรมปศุสัตว์ (2547) มีกลิ่นหอมคล้ายผลไม้ดอง ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า เนื้อสัมผัสไม่เป็นเมือกและไม่เละ แต่เปลือกทุเรียนที่เสริมยีสต์จะมีเนื้อเปื่อยยุ่ยและเป็นเมือกเล็กน้อย สูตรที่เสริมเกลือจะมีสีเหลืองมะกอกเป็นสีที่สว่างกว่าสูตรอื่นๆ
สำหรับระดับกรดไฮโดรไซยาไนด์ หลังการหมักอยู่ระหว่าง 0.33-0.47 mg% เป็นระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ ระดับของอินทรีย์วัตถุ วัตถุแห้ง เถ้า และ ADF ใกล้เคียงกัน แต่การเสริมยีสต์ทำให้ระดับโปรตีน (22.28%) สูงกว่าการเสริมเกลือ (18.22%) และโซเดียมไนเตรท (15.32%) และการเสริมยีสต์ทำให้ระดับของเยื่อใย NDF สูงกว่าอีกสองสูตรเช่นกัน สำหรับต้นทุนในการหมักที่เสริมเกลือเท่ากับ 1.45 บาท/กก. ซึ่งเป็นต้นทุนต่ำที่สุด
ส่วนการศึกษาสมรรถภาพการผลิตแพะที่ได้รับอาหารหยาบต่างกัน พบว่าแพะที่กินเปลือกทุเรียนหมักสามารถกินอาหารและย่อยสารอาหารได้ดี มีน้ำหนักเพิ่มและการเจริญเติบโตสูงกว่าแพะที่ได้รับหญ้าเป็นอาหารหยาบ
ส่วนค่ายูเรียไนโตรเจน น้ำตาลกลูโคสในเลือด และฮอร์โมน T3 (Triiodothyronine) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งแสดงว่าอาหารทดลองมีสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของแพะ อีกทั้งค่าความกรด-ด่าง แอมโมเนียไนโตรเจน และกรดไขมันที่ระเหยได้อยู่ในเกณฑ์ปกติเช่นกัน เมื่อคำนวณรายได้และกำไรจากการจำหน่ายแพะ พบว่าแพะที่กินเปลือกทุเรียนหมักสามารถให้กำไรมากเกือบ 2 เท่าและสามารถลดต้นทุนค่าอาหารมากถึง 45%
อาหารผสมสำเร็จที่มี "เปลือกทุเรียน" สัตว์ตระกูลเคี้ยวเอื้องสามารถกินได้หมด
สำหรับการศึกษาสัดส่วนของเปลือกทุเรียนหมักในอาหารผสมสำเร็จต่อสมรรถภาพการผลิตแพะพบว่าอาหารผสมสำเร็จที่มีเปลือกทุเรียนหมัก 60-80% แพะสามารถกินอาหาร และการย่อยได้ใกล้เคียงกัน ส่วนค่ายูเรียไนโตรเจน น้ำตาลกลูโคสในเลือด และฮอร์โมน T3 มีค่าใกล้เคียงกัน เช่นเดียวกับค่าความกรด-ด่างแอมโมเนียไนโตรเจน และกรดไขมันที่ระเหยได้ในกระเพาะหมักอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งไม่มีผลด้านลบต่อแพะ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า เปลือกทุเรียนสามารถเป็นอาหารเลี้ยงแพะ รวมทั้งสัตว์ตระกูลเคี้ยวเอื้องสามารถกินได้หมด ทำให้ลดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้กับเกษตรกร
ในส่วนอัตราการลดลงของเปลือกทุเรียน หลังจากการทำวิจัยนี้ ถือว่าลดเปลือกทุเรียนไปได้หลายเปอร์เซ็นต์ แต่ยังลดน้อยอยู่ เพราะว่าคนยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อะไร เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย ซึ่งตอนนี้กำลังจะช่วยกันส่งเสริมมากขึ้น เช่น ช่วงนี้ให้เกษตรกรสามารถเอามาทำเป็นอาหารด้วยตัวเองก็ได้ หรือเป็นผลิตภัณฑ์ขายก็ได้
ทั้งนี้ คิดว่าน่าจะลดปริมาณเปลือกทุเรียนได้ประมาณ 30% ซึ่งถ้าทุกคนใช้อาหารแบบนี้หมด น่าจะสามารถลดได้เยอะกว่านี้ เพราะเหมือนตอนนี้ทำแค่อยู่ในพื้นที่เล็กๆ ถ้าในอนาคตสามารถขยายไปได้ก็จะเกิดประโยชน์มากกว่านี้ เพราะช่วงนี้ก็มีโครงการถ่ายทอดความรู้ แล้วก็มีผู้ประกอบการสนใจให้ผลิต และจะช่วยหาตลาดให้ เนื่องจากมีตลาดที่มาเลเซียกำลังให้ความสนใจ
ส่วนเป้าหมายต่อไป คือการตั้งกลุ่มและตั้งบริษัทเป็นวิสาหกิจ ทำเป็นผลิตภัณฑ์ขาย จริงๆ ความคาดหวังของโครงการนี้ คือ ต้องการกำจัดขยะ และอยากได้อาหารต้นทุนถูกสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ เนื่องจากที่พื้นที่นราธิวาสหาวัตถุดิบได้แพง เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องหาซื้อมาจากต่างจังหวัด ทำให้ต้นทุนแพงมาก ซึ่งหากใช้วัตถุดิบที่มีในพื้นที่อยู่แล้วก็จะเท่ากับศูนย์บาท ถ้าเกษตรกรสามารถทำเองได้ ก็จะได้กำไรที่ดี หลังจากนั้นเราก็จะขยายต่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อขยายตลาดสำหรับคนเลี้ยงแพะ เลี้ยงวัวในประเทศต่อไป.
