- พารู้จักขนมบิสกิตสุนัข จาก "เปลือกไข่" นวัตกรรมแปรรูปอาหาร ช่วยเพิ่มมูลค่า ลดปริมาณขยะอาหาร
- จุดเริ่มต้น "บิสกิตเปลือกไข่" เจาะตลาดคนเลี้ยง "สุนัขพันธุ์เล็ก"
- โมเดลธุรกิจจากเปลือกไข่ กับการพัฒนา "อุตสาหกรรมอาหารไทย" ในอนาคต
รู้หรือไม่ "เปลือกไข่" ที่หลายคนคิดว่าไม่มีคุณค่า หรือไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แล้วนั้น กำลังจะกลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีมูลค่า และอาจเป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต
เนื่องจาก เปลือกไข่ มีสารอาหารจำพวก "แคลเซียม" ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญกับร่างกาย ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟันให้กับสัตว์ อีกทั้งยังตอบโจทย์กับเทรนด์โลกในปัจจุบันที่ต้องการลดปริมาณ "ขยะอาหาร" หรือ Food Waste ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.ดร.นันทวัน เทอดไทย อาจารย์ภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะ ได้คิดค้น และทำโครงการวิจัย "การใช้ประโยชน์จากเปลือกไข่สำหรับทำขนมบิสกิต" โดยเผยว่า เป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของภาคการเกษตร เลยพยายามแปรรูปจากเปลือกไข่อยู่ในรูปที่ใช้งานง่าย คือ "เป็นผง" ส่วนผงจากเปลือกไข่นี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก
สำหรับส่วนประกอบในบิสกิต ใช้เปลือกไข่ 2% ในสูตร ที่ใส่ได้ไม่เยอะ เพราะใส่ตามความต้องการของสัตว์ เปลือกไข่ 100 กรัม ได้ผงเปลือกไข่ 80 กรัม โดยผงเปลือกไข่ 80 กรัม มีแคลเซียม 90% หรือประมาณ 70-72 กรัม เนื่องจากเริ่มต้นเป็นของแข็ง ทำให้เสียแคลเซียมไปแค่ในขั้นตอนการทำความสะอาดเปลือกไข่ พอมาบดก็แทบไม่ได้เสียอะไรในระหว่างกระบวนการผลิต

จุดเริ่มต้น "บิสกิตเปลือกไข่" เจาะตลาดคนเลี้ยง "สุนัขพันธุ์เล็ก"
รศ.ดร.นันทวัน เผยว่า ตั้งใจทำสำหรับน้องหมาพันธุ์เล็ก เพราะคนเลี้ยงหมาพันธุ์เล็กมีฐานะ เลยมีความตั้งใจเจาะตลาดกลุ่มพรีเมียม ทำออกมาเหมาะสำหรับสุนัขพันธุ์เล็ก ที่คำนวณไว้คือตัวละ 1-2 ชิ้น แต่สุนัขพันธุ์ใหญ่ก็กินได้ แต่เนื่องจากสุนัขพันธุ์ใหญ่น้ำหนักเยอะ ก็จะกินได้เยอะ อาจกินถึง 5-10 ชิ้น แปลว่าเปลือง
แต่ถ้าปรับใหม่ เป็นกลุ่มเป้าหมายสุนัขพันธุ์ใหญ่ สามารถใส่แคลเซียมให้เยอะกว่านี้ต่อชิ้นได้ เพื่อให้สุนัขพันธุ์ใหญ่กินน้อยชิ้นลง ไม่ต้องการให้น้องหมากินจนอิ่ม เนื่องจากตั้งใจทำเป็นขนม ไม่ใช่อาหาร แค่ต้องการเสริม ไม่ต้องการให้สุนัขกินจนอิ่ม

ถ้าหากให้สุนัขพันธุ์ใหญ่กินทีละ 10 ชิ้น เพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซียมที่ต้องการก็ไม่ถูก แต่ไม่ได้หมายความว่าอันตราย เพียงแต่ว่ามันเปลือง ถ้าเกิดว่าผู้ประกอบการซื้อไปแล้ว อยากจะเคลมว่าเป็นของสุนัขพันธุ์ใหญ่ เราก็ใส่ผงเปลือกไข่ต่อชิ้นเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นสุนัขพันธุ์ใหญ่ก็จะกินแค่ 1-2 ชิ้น แต่ก็จะไม่สามารถให้สุนัขพันธุ์เล็กกินได้แล้ว เพราะจะได้รับแคลเซียมเกิน ก็จะไม่เป็นผลดีต่อตัวสุนัข
นอกจากนี้สามารถเอาไปทำอย่างอื่นนอกจากขนมแมวเลียกับบิสกิตน้องหมาได้เช่นกัน เพราะผงเปลือกไข่เป็นเพียงแค่ตัวเสริม แต่ความยากอยู่ที่การคำนวณสูตร ว่าจะคำนวณให้สมดุลกับส่วนอื่นอย่างไร อย่างบิสกิตน้องหมา แคลเซียมต้องสมดุลกับฟอสฟอรัส ฟอสฟอรัสก็ต้องดูในสูตรอาหารเดิม ว่ามีฟอสฟอรัสมีมาแค่ไหน ถ้าฟอสฟอรัสยิ่งเยอะ โอกาสเพิ่มแคลเซียมเข้าไปได้ยิ่งสูง สิ่งสำคัญเลยคือต้องทำให้แคลเซียมกับฟอสฟอรัสสมดุลกัน

บิสกิตสุนัข จาก "ผงเปลือกไข่" ต่างจากบิสกิตสุนัขทั่วไปอย่างไร
บิสกิตสำหรับสุนัขที่มี "ผงเปลือกไข่" เป็นองค์ประกอบ มีจุดเด่นคือ เสริมแคลเซียมได้ถึงประมาณ 510 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัมบิสกิต และมีโปรตีนสูงไม่น้อยกว่า 32% ในขณะที่บิสกิตสุนัขทั่วไปมีปริมาณโปรตีนในช่วง 10-15%
นอกจากนี้ยังพบว่า ผงเปลือกไข่ที่บรรจุในถุงอลูมิเนียมฟอยล์สามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้อย่างน้อย 12 เดือน โดยไม่พบจุลินทรีย์ก่อโรค และจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสีย

กระบวนการผลิต "บิสกิตเปลือกไข่"
สำหรับการผลิตบิสกิตเปลือกไข่ ทำได้ดังนี้
- นำเปลือกไข่มาล้าง แล้วนำไปบดหยาบ เพื่อให้น้ำเข้าถึงง่ายขึ้น ถ้าล้างแบบเปลือกไข่ที่ยังไม่บด บางจุดจะล้างไม่ทั่วถึง เพราะเปลือกไข่มีลักษณะโค้งเว้าจึงต้องบดหยาบก่อน
- เมื่อบดหยาบเรียบร้อยแล้ว ให้นำไปฆ่าเชื้อโดยใช้ความร้อน 30-45 นาที ให้เปลือกไข่สะอาด
- จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการทำให้แห้ง ใช้เวลา 3-5 ชั่วโมง
- ต่อมาให้บดละเอียดทำเป็นผง เพื่อเก็บรักษาเปลือกไข่ไว้ให้ได้นาน โดยผงแบบนี้สามารถนำมาใช้งานง่าย ต่างจากแบบหยาบที่จะอันตราย เพราะเปลือกไข่มีความคมมาก หากนำไปทำอาหาร อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสัตว์

โมเดลธุรกิจจาก "เปลือกไข่" กับการพัฒนา "อุตสาหกรรมอาหารไทย" ในอนาคต
รศ.ดร.นันทวัน กล่าวต่อว่า ในอนาคตเรามองว่า อย่างบริษัทใหญ่ โรงเลี้ยงไก่ที่มีศักยภาพสูง สามารถเปิดไลน์ได้เอง เราก็จะไปถ่ายทอดให้ได้ว่า แทนที่จะเอาเปลือกไข่ไปทิ้งเป็นขยะ เราสามารถเปิดไลน์เล็กๆ ขึ้นมาในฟาร์มเลี้ยง เป็นไลน์ที่จะทำความสะอาดเปลือกไข่ เพื่อที่จะสามารถอบแห้ง และขึ้นบดเป็นผงได้
ฉะนั้นก็จะขายได้ทั้งลูกเจี๊ยบ และเปลือกไข่ผงที่ได้คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ถ้าทำตามขั้นตอนที่เรามีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการอยู่แล้ว เปลือกไข่ก็จะสะอาดพร้อมใช้ ทำให้ลดทุนการผลิต เพราะทำให้เปลือกไข่มีมูลค่าขึ้นมา
นี่คือ Business model ที่วางไว้ คิดว่าผู้ประกอบการรายเล็กอาจจะทำได้ยากหน่อย แต่ถ้าเป็นโรงฟักไก่ขนาดใหญ่สามารถทำได้ ลงทุนอีกนิดหน่อย เพราะเขามีเปลือกไข่เยอะมาก ช่วยลดขยะด้วย เพราะหลักๆ ส่วนใหญ่จะใช้เปลือกไข่ทำเป็นปุ๋ย แคลเซียมใส่ปุ๋ยก็ดี แต่มีมูลค่าน้อย แต่การที่จะทำเป็นปุ๋ยแล้วเพิ่มขั้นตอนทำความสะอาดอีกนิดหน่อย ให้ถูกหลักวิชาการก็จะทำให้ปลอดภัย
และสามารถทำให้เปลือกไข่เป็นส่วนประกอบอาหารได้ ทั้งอาหารสัตว์ และอาหารคน เพียงแต่ในบ้านเราคนยังไม่เปิดใจอาหารจากเปลือกไข่มากขนาดนั้น แต่ในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ญี่ปุ่น กินกันเป็นปกติแล้ว บิสกิตเป็นแค่ต้นแบบ จริงๆ แล้วสามารถเอาไปทำอาหารได้ทุกชนิด คือสามารถนำไปใส่เป็นอาหารแมวเลียก็ได้ หรืออาหารเปียก ที่ให้กินเป็นมื้อ มื้อละ 1 กระป๋องก็ได้

แต่จุดสำคัญเลยคือ ต้องคำนวณสูตรว่าจะใส่เท่าไร ขึ้นอยู่กับชนิดของหมา พันธุ์ของหมา อายุ หรือน้องแมว เพราะคนละสปีชีส์กัน ความต้องการก็ไม่เท่ากัน จึงเป็นจุดที่ต้องคำนวณว่าต้องใช้ผงเปลือกไข่ในปริมาณเท่าไร ส่วนบิสกิตนี้น้องแมวสามารถทานได้ แต่ก็ไม่ถูก เพราะขนมบิสกิตถูกออกแบบมาเพื่อน้องหมา แต่ไม่ถูกในที่นี้ก็ไม่เกิดอันตรายใดๆ
ทั้งนี้ รศ.ดร.นันทวัน เผยว่า ปัจจุบันยังไม่ได้มีการวางจำหน่ายบิสกิตเปลือกไข่ เนื่องจากอยู่ในช่วงดำเนินการขายอนุสิทธิบัตร มีผู้ประกอบการมาเจรจากับทางมหาวิทยาลัยอยู่
อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตได้มีการวางจำหน่ายขนมบิสกิตที่ทำจาก "เปลือกไข่" เชื่อว่าจะเป็นการพัฒนาอีกขั้นของธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ที่นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมแล้ว ยังช่วยจุดประกายความคิดในการลดปัญหา "ขยะอาหาร" เพื่อความยั่งยืนของโลกในอนาคตอีกด้วย.