- "ธนาคารน้ำใต้ดิน" คืออะไร สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้งได้จริงหรือไม่
- หลักการทำงานของธนาคารน้ำใต้ดิน กับแนวคิดการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน
- ข้อเสียที่ต้องพิจารณาของ "ธนาคารน้ำใต้ดิน" มีอะไรบ้าง และมีขั้นตอนอย่างไรในการติดตั้งและก่อสร้าง
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในทุกๆ ปี หลายพื้นที่ของประเทศไทย มักประสบกับปัญหาน้ำท่วมในช่วงฝนตกหนัก หรือน้ำแล้ง ไม่เพียงพอกับการใช้งาน จากการที่ฝนทิ้งช่วง หรือฝนไม่ตกตามฤดูกาล ประกอบกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ที่ส่งผลทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อย และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ภัยแล้ง" ที่มีการคาดการณ์ว่า จะส่งผลกระทบยาวนานไปจนถึงปี 2568 หลายหน่วยงาน จึงต้องเตรียมพร้อมรับมือ วางแผนบริหารจัดการน้ำในช่วงเวลามีฝนตก หาแหล่งเก็บกักน้ำไว้ เพื่อให้สามารถมีน้ำใช้ให้พร้อมเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว
ซึ่งหนึ่งในแนวคิดที่ถูกพูดถึงนั่นคือ "ธนาคารน้ำใต้ดิน" นวัตกรรมหนึ่งที่จะช่วยรับมือกับปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้งซ้ำซาก ด้วยการเก็บไว้ใต้ดิน แต่ก็ยังมีปัจจัยที่หลายคนกังวล เรื่องความเสี่ยงในการปนเปื้อนของน้ำใต้ดิน และระบบการจัดการก่อสร้างดังกล่าวที่อาจมีผลเสียกับบริเวณโดยรอบ จึงเกิดเป็นคำถามว่า แท้จริงแล้ว "ธนาคารน้ำใต้ดิน" จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน โดยไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จริงหรือไม่
"ธนาคารน้ำใต้ดิน" คืออะไร
ธนาคารน้ำใต้ดิน หรือ Groundwater Bank เป็นการบริหารจัดการน้ำใต้ดิน โดยการนำน้ำเข้าไปกักเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดิน ในชั้นหินอุ้มน้ำในช่วงหน้าฝน และนำออกมาใช้เมื่อยามต้องการ เพื่อแก้ปัญหาด้านต่างๆ เช่น ปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม น้ำหลาก การรุกล้ำของน้ำเค็ม น้ำกร่อย ฯลฯ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเสียสมดุลของน้ำใต้ดิน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด และธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด ดังนี้
1. ธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด
ใช้หลักการขุดบ่อ เพื่อส่งน้ำไปเก็บไว้ที่ชั้นน้ำบาดาล ขนาดและความลึกของบ่อ จะขึ้นอยู่กับสภาพ และชั้นดินของแต่ละพื้นที่ โดยขุดบ่อให้ลึกถึงชั้นหินอุ้มน้ำ แล้วดำเนินการจัดทำภายในบ่อตามรูปแบบที่กำหนด เมื่อฝนตกลงมา น้ำจะไหลลงสู่ชั้นใต้ดินโดยตรง ผ่านธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด ที่ได้จัดทำขึ้น
โดยส่วนใหญ่ จะเน้นแก้ไขปัญหาการระบายน้ำท่วมขัง จากการเกิดฝนตกหนักในระดับครัวเรือน ใช้พื้นที่ในการจัดทำไม่มาก สามารถประยุกต์ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการจัดทำได้ และใช้งบประมาณน้อย
2. ธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด
เป็นการเปิดผิวดิน เพื่อที่จะสามารถใช้น้ำในระดับผิวดินได้เลย โดยจะมีการขุดบ่อขนาดใหญ่ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ และความต้องการ โดยจะมีการเจาะพื้นบ่อเป็นหลุม 3 หลุมให้ลึกถึงชั้นหินอุ้มน้ำ เพื่อให้น้ำไหลลงชั้นหินอุ้มน้ำได้ดี
โดยซึ่งน้ำที่นำมาเก็บ อาจจะมาจากหลายแหล่งด้วยกัน เช่น น้ำฝน หรือน้ำจากการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด เมื่อน้ำถูกเติมลงชั้นใต้หินอุ้มน้ำปริมาณมากพอ น้ำจะเอ่อล้นมาที่บ่อโดยอัตโนมัติ เกษตรกรจะสามารถสูบน้ำจากบ่อนี้มาใช้ได้ทันที วิธีนี้จะช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องขุดเจาะหาแหล่งน้ำ หรือสูบน้ำจากแหล่งน้ำไกลๆ เป็นการประหยัดพลังงาน และช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ แต่อาจจะมีราคาต้นทุนที่ค่อนข้างสูง
หลักการทำงานของ "ธนาคารน้ำใต้ดิน"
ธนาคารน้ำใต้ดิน เป็นสถานที่กักเก็บน้ำส่วนเกินไว้ใต้ดิน เพื่อใช้ในอนาคต จะทำงานโดยใช้หลักการเติมและกักเก็บน้ำในชั้นหินอุ้มน้ำตามธรรมชาติ หรืออ่างเก็บน้ำใต้ดิน ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ
โดยทั่วไปแล้ว กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการจับ และเปลี่ยนเส้นทางน้ำผิวดินส่วนเกิน ในช่วงที่มีฝนตกชุก หรือการไหลของแม่น้ำ โดยน้ำจะถูกส่งไปยังพื้นที่จัดเก็บใต้ดิน ที่สามารถซึมผ่านดิน และเติมน้ำสำรองใต้ดินได้ ทำให้ในเกษตรกรในพื้นที่ สามารถสกัดน้ำ จากธนาคารเก็บน้ำใต้ดินเหล่านี้ขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ ในช่วงที่ขาดแคลนน้ำ หรือกำลังเผชิญกับภัยแล้ง
ธนาคารน้ำใต้ดิน แนวคิดการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า นวัตกรรมและแนวคิดของธนาคารน้ำใต้ดินถูกพูดถึงว่าสามารถนำมาแก้ปัญหาภัยพิบัติ และทรัพยากรน้ำของประเทศได้ เนื่องจากมีข้อดีดังต่อไปนี้
- การกักเก็บน้ำ ในธนาคารน้ำใต้ดิน เป็นวิธีที่ยั่งยืนในการกักเก็บน้ำส่วนเกิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน หรือเมื่อน้ำประปามีเกินความต้องการ เพราะน้ำที่เก็บไว้นี้ สามารถนำมาใช้ในช่วงฤดูแล้ง หรือเมื่อมีความต้องการได้
- ธนาคารน้ำใต้ดิน ยังช่วยให้ชุมชน และภูมิภาคต่างๆ มีความยืดหยุ่นต่อภาวะแห้งแล้งมากขึ้น โดยการจัดหาแหล่งน้ำเสริมในช่วงเวลาที่ขาดแคลนน้ำ ซึ่งสามารถช่วยรักษาแหล่งน้ำของการเกษตร อุตสาหกรรม และการใช้ในบ้านได้
- แนวคิดของนวัตกรรมจัดเก็บน้ำไว้ใต้ดิน เป็นการสนับสนุนแนวทางจัดการน้ำที่มีประสิทธิผล ช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่าง อุปสงค์และอุปทานน้ำ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการขาดแคลนน้ำ และความขัดแย้ง
- นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำได้ โดยจัดให้มีขั้นตอนการบำบัดเพิ่มเติม เมื่อน้ำซึมผ่านพื้นดิน น้ำจะผ่านการกรองตามธรรมชาติ ที่สามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนบางชนิด และปรับปรุงคุณภาพได้
- รวมถึงสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม โดยการลดความต้องการแหล่งเก็บน้ำผิวดินเพิ่มเติม ที่อาจทำให้เกิดการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย และการหยุดชะงักของระบบนิเวศได้อีกด้วย
โดยรวมแล้ว ธนาคารน้ำใต้ดิน จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับการจัดการทรัพยากรน้ำ เพราะเป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่มีความสามารถช่วยประชากรในสังคมปรับตัวให้อยู่รอดจากภัยแล้งได้ และยังช่วยลดการพึ่งพาการสูบน้ำบาดาลที่ไม่ยั่งยืน
ข้อเสียที่ต้องพิจารณาของ "ธนาคารน้ำใต้ดิน"
แม้ "ธนาคารน้ำใต้ดิน" จะเป็นทางเลือกที่ดี ในการบริหารจัดการกับทรัพยากรน้ำของประเทศ และแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือภัยแล้งได้ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง ที่เราจะต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้
- ต้นทุนการก่อสร้าง และบำรุงรักษาธนาคารน้ำใต้ดินอาจสูง เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นหลายอย่าง เช่น บ่อ ท่อ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บ จึงจำเป็นต้องมีการลงทุนจำนวนมาก
- นอกจากนี้ ยังต้องมีการบำรุงรักษา และการตรวจสอบ บำบัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจในความสมบูรณ์ของตลิ่งน้ำใต้ดิน
- คุณภาพของน้ำที่เก็บไว้ อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะธนาคารน้ำใต้ดิน อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากแหล่งต่างๆ เช่น มลพิษ หรือสารเคมีที่มีอยู่ในดินโดยรอบ
- สถานที่จัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน ต้องเหมาะสม และมีความพร้อมใช้งาน โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ธรณีวิทยา อุทกธรณีวิทยา และความพร้อมของที่ดิน ซึ่งอาจจำกัดจำนวนสถานที่ที่เป็นไปได้ ในการก่อสร้าง
- นอกจากนี้ การจัดทำ ธนาคารน้ำใต้ดิน อาจมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำ เนื่องจากการรั่วไหล หรือการซึมผ่านของดินโดยรอบ ซึ่งอาจส่งผลให้ความจุในการจัดเก็บลดลง และความไร้ประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการทำ "ธนาคารน้ำใต้ดิน"
อย่างไรก็ตาม หากพิจาณาแล้วมีความพร้อมจะจัดตั้งและ "สร้างธนาคารน้ำใต้ดิน" ขอแนะนำให้ทำตามขั้นตอนและกระบวนการเหล่านี้ เพื่อให้ได้ใช้น้ำที่มีประสิทธิภาพ
1. ศึกษาความเป็นไปได้
กำหนดความเหมาะสมของสถานที่ ในการสร้างธนาคารน้ำใต้ดิน โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ชนิดของดิน ความพร้อมใช้ของน้ำ และความใกล้ชิดกับแหล่งน้ำ
2. ขอรับสิทธิ์ที่จำเป็น
ติดต่อหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติที่จำเป็น สำหรับการสร้างธนาคารน้ำใต้ดิน ซึ่งอาจต้องเกี่ยวข้องกับการประเมินสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้วย
3. พัฒนาแผนการออกแบบ
ร่วมมือกับบริษัทวิศวกรรม หรือการก่อสร้างที่เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำ เพื่อออกแบบธนาคารน้ำใต้ดิน โดยใช้การพิจารณา จากปัจจัยต่างๆ เช่น ความจุ อัตราการเติม และการจัดการคุณภาพน้ำ
4. ทำการขุดค้น และก่อสร้าง
จากนั้นให้เริ่มขั้นตอนการก่อสร้าง โดยการขุดดิน เพื่อสร้างพื้นที่ใต้ดินสำหรับวางตลิ่ง สร้างผนัง พื้น และหลังคาโดยใช้วัสดุที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจในความสมบูรณ์ของโครงสร้าง และป้องกันการรั่วซึม
5. ติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานในการกักเก็บน้ำ
จัดทำระบบรวบรวม และระบายน้ำฝนหรือน้ำผิวดินเข้าสู่ตลิ่งน้ำใต้ดิน ซึ่งอาจรวมถึงรางน้ำ ท่อ และระบบกรองเพื่อกำจัดเศษซากและสิ่งปนเปื้อน
6. ใช้กลไกการเติม
ติดตั้งกลไกเพื่อเติมพลังให้กับตลิ่งน้ำใต้ดิน เช่น บ่อซึม อ่างเติม หรือบ่อซึม เนื่องจากระบบเหล่านี้ จะช่วยเติมน้ำที่เก็บไว้ และรักษาคุณภาพไว้
7. ติดตั้งระบบตรวจสอบ
ตั้งค่าอุปกรณ์ตรวจสอบ เพื่อติดตามระดับน้ำ คุณภาพ และอัตราการเติมน้ำ โดยต้องตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้อง และระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
8. สร้างกลไกการดึงน้ำ
ติดตั้งปั๊ม ท่อ และระบบกรอง เพื่อแยกน้ำออกจากตลิ่งใต้ดินเมื่อจำเป็น โดยต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการสกัดมีความยั่งยืน และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
9. ใช้กลยุทธ์การจัดการน้ำ
พัฒนาแผนการจัดการน้ำที่ครอบคลุม เพื่อใช้น้ำที่กักเก็บอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจรวมถึงระบบชลประทาน เครือข่ายการจ่ายน้ำ หรือโครงการเติมน้ำใต้ดิน
10. การบำรุงรักษาและการตรวจสอบเป็นประจำ
ดำเนินการตรวจสอบ บำรุงรักษา และซ่อมแซมเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารน้ำใต้ดิน จะทำงานได้ในระยะยาว ตรวจสอบคุณภาพน้ำ อัตราการเติม และอัตราการสกัดเพื่อทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็น
อย่าไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ และผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ตลอดกระบวนการ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามกฎระเบียบของท้องถิ่น และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบในการก่อสร้างธนาคารน้ำใต้ดินอย่างถูกต้อง ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อตัวเอง และส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมต่อไปโดยรอบ.
อ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์วิศวกรรมสารสนเทศภูมิศาสตร์และนวัตกรรม (KGEO) ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อมาตรฐานและอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ (มจธ.)