“โรคมะเร็ง” กำลังเป็นปัญหาทั่วโลกในปี 2551 มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเกือบ 8 ล้านคน...น่าสนใจว่าผู้เสียชีวิตกว่า 2 ใน 3 อยู่ในประเทศที่มีฐานะยากจนและมีรายได้ระดับปานกลางมะเร็ง 5 ชนิดที่พบมากที่สุดอันดับหนึ่งคือ มะเร็งปอด รองลงมา... มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม...ตามลำดับ“ทำความรู้จักกับยาเคมีบำบัด” เอกสารเผยแพร่อีกเล่มที่น่าสนใจต่อเนื่องจาก “สกู๊ปหน้า 1” ฉบับเมื่อวาน โดย “มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย” จัดพิมพ์เป็นครั้งที่ 3 จำนวน 10,000 เล่มคณะผู้นิพนธ์ นายแพทย์วิเชียร ศรีมุนินทร์นิมิต สาขาวิชาเคมีบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล นายแพทย์วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หน่วยมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นายแพทย์เอกภพ สิระชัยนันท์, แพทย์หญิงธิติยา สิริสิงห หน่วยมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดีนายแพทย์นพดล โสภารัตนาไพศาล สาขาวิชาเคมีบำบัด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล นายแพทย์ไนยรัฐ ประสงค์สุข สาขาเคมีบำบัด วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า แพทย์หญิงนภา ปริญญานิติกุล หน่วยมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย“ยาเคมีบำบัด” บางคนอาจจะเรียกสั้นๆว่า “คีโม” ย่อมาจากคำว่า “คีโมเทอราปี” หมายถึง สารเคมีหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ต้าน หรือทำลายเซลล์มะเร็ง โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ “เซลล์มะเร็ง” ที่แบ่งตัวเร็วและต่อเนื่อง ยาเคมีบำบัดจะออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งหลายรูปแบบ และ...ทำให้ “ตาย” ในที่สุด แพทย์อาจใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน โรคมะเร็งหลายชนิดที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว เช่น มะเร็งเม็ดโลหิต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งลูกอัณฑะสำหรับโรคมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ ปอด และมะเร็งอื่นอีกหลายชนิดภายหลังจากการผ่าตัดรักษาอาจให้ยาเคมีบำบัดเพื่อการรักษาเสริม โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสหายขาดให้สูงขึ้นกว่าการรักษาเฉพาะที่เพียงอย่างเดียว...เพื่อหวังกำจัดเซลล์มะเร็งที่ยังเล็ดลอดจากการผ่าตัดที่ไม่สามารถมองเห็นหรือตรวจพบจากเอกซเรย์บางกรณีที่ “ก้อนมะเร็ง” มีขนาดใหญ่ การรักษาเฉพาะที่ก่อนทันทีอาจได้ผลในการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร เช่น การผ่าตัดมะเร็งเต้านมก้อนขนาดใหญ่มาก หรือลุกลามจนเป็นแผลแตก อาจทำให้ผ่าตัดออกไม่ได้หมด เกิดการแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นหรือเสียรูปร่างของเต้านมมาก คุณหมออาจเลือกใช้ยาเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัดเพื่อช่วยลดขนาดของก้อนลง จนทำให้...ศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดได้สะดวกขึ้นการรักษามะเร็งบางชนิดที่ใช้การรักษาด้วยการฉายรังสีเป็นหลัก เช่น มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งทวารหนัก การให้ยาเคมีบำบัดพร้อมกับการฉายรังสีจะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น กรณีผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของโรคมะเร็งไปมากแล้ว การให้ยาเคมีบำบัดอาจทำเพื่อหวังผลการควบคุมโรคไม่ให้ลุกลาม ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น“บางครั้งแพทย์อาจเลือกให้ยาเคมีบำบัดหลายชนิดพร้อมกันเป็นสูตรยาในการรักษา การให้ยาร่วมกันหลายขนานในสูตรการรักษาหนึ่งๆ เพื่อให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงขึ้น”ข้อนี้หลายคนอาจรู้อยู่บ้างแล้วว่า...การทำลายเซลล์มะเร็งของยาเคมีบำบัด อาจทำลายเซลล์ปกติในร่างกายที่กำลังแบ่งตัวด้วย แต่โดยทั่วไปแล้วเซลล์ปกติของร่างกายจะมีกำลังสำรองสูง สามารถฟื้นตัวภายหลังได้อย่างรวดเร็วหลังหยุดพักยาเคมีบำบัดชั่วคราว การให้ยาเคมีบำบัดจึงต้องมีระยะเวลาพักยา เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว สูตรยาเคมีบำบัดจึงเป็นการให้ยาเป็นระยะ รอบการให้ยาโดยทั่วไปจะเป็น 3 หรือ 4 สัปดาห์...ใน 1 รอบอาจมีการให้ยามากกว่า 1 ครั้งแล้วแต่สูตรของการรักษา โดยมากการรักษาจะเป็นระยะเวลาเฉลี่ย 4–6 เดือนต่อ 1 สูตรการรักษา ซึ่งอาจหมายถึงการบริหารยา 4–8 รอบสำหรับผลข้างเคียงจะแตกต่างกันตามชนิดของยา วิธีการบริหารยา... ยาเคมีบำบัดยุคใหม่มักถูกผลิตขึ้นมาทำให้มีผลข้างเคียงบางอย่างลดน้อยลง สามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพสูงขึ้นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆมี...อาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้...อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ผมร่วง การติดเชื้อ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะซีด หรือเม็ดเลือดขาวต่ำ แผลที่เยื่อบุภายในช่องปาก ท้องผูกหรือถ่ายเหลวหากมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วย “ยาเคมีบำบัด” ควรสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียง การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องจากแพทย์ พยาบาลเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดและเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในขณะที่รักษาแม้ว่าอุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งจะสูงขึ้น แต่ก็พบว่าอัตราการรอดชีพและอัตราการหายขาดจากโรคมะเร็งก็สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยปัจจุบันได้มีการศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีทางการแพทย์ การรักษาด้วยวิธีการใหม่ทั้งในด้านของการผ่าตัด ฉายรังสี หรือยาเคมีบำบัดใหม่ๆมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่องนับรวมไปถึงการรักษาโรคมะเร็งอย่างผสมผสานกัน...ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกรณีตัวอย่างการใช้ “อัลตราซาวนด์กับไมโครเวฟ” รศ.นพ.คมกริช ฐานิสโร หัวหน้าศูนย์รังสีร่วมรักษา โรงพยาบาลวัฒโนสถ บอกว่า อัลตราซาวนด์เป็นเรื่องของเครื่องมือที่ทันสมัย ช่วยทำให้มองเห็นก้อนมะเร็งในตับได้ชัดเจนเพื่อไปทำการรักษา ซึ่งอัลตราซาวนด์ก็ใช้ได้กับหลายอวัยวะ แต่ส่วนใหญ่ใช้กับ “ตับ”ทีนี้คำว่า “ไมโครเวฟ” เป็นอีกประเด็นหนึ่ง เป็นวิธีการรักษามะเร็งโดยการเข้าไปจี้ด้วยความร้อน ที่มาจากคลื่นไมโครเวฟ ความใหม่หากจะกล่าวถึงในการรักษามะเร็งเดี๋ยวนี้ก็พยายามที่จะไม่ผ่าตัด บางทีคนไข้จะผ่าก็ยาก...หากไม่ผ่าก็ไม่ต้องพักฟื้นนาน ร่างกายก็บอบช้ำน้อย ค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่า ดมยาสลบก็สั้นกว่าโดยเฉพาะการรักษา “มะเร็งตับ” ก็เลยมีแนวโน้มว่าจะรักษาโดยไม่มีการผ่าตัดมากขึ้น ลักษณะจะเป็นก้อนกลมๆอยู่ในตับ การรักษาจะทำยังไง แทนที่จะผ่าตัดเปิดท้องเข้าไปผ่าเอาเนื้อตับออกเยอะแยะก็หาอะไรที่ไปทำลาย ไปจี้...ปัจจุบันก็ใช้ความร้อน ล่าสุดก็ใช้คลื่นไมโครเวฟทำให้เกิดความร้อนที่ในตัวก้อนมะเร็ง แล้วก็ให้เนื้อตายใส่เข็มเข้าไปอยู่ตรงก้อนเนื้อมะเร็ง จากนั้นก็จะมีการปล่อยพลังงานจากเครื่องด้านนอกเข้าไปที่ปลายเข็ม เฉพาะจุด เลือกได้ว่าจะให้ความร้อนเท่าไหร่? ยังไง? ใช้เวลากี่นาที? ใช้พลังงานเท่าไหร่? กำหนดได้“วิธีนี้ทำให้เกิดแผลเพียงรูเล็กๆ 3 มิลลิเมตรเท่านั้น...เข้าไปแล้วเนื้อตับส่วนปกติก็ไม่ได้ไปยุ่งเลย ทำลายเฉพาะส่วนที่เป็นก้อนเนื้อเท่านั้นเอง ปรากฏผลว่า วิธีนี้จากเดิมที่รักษามะเร็งตับบางจุดไม่ได้ก็รักษาได้ คนไข้ที่คิดว่าร่างกายไม่แข็งแรง เป็นตับแข็งเยอะๆก็มาใช้วิธีนี้รักษาได้” รศ.นพ.คมกริช บอกว่า การรักษาด้วยการจี้ด้วยความร้อน จะต้องเป็นมะเร็งระยะเริ่ม...ระยะแรกเป็นส่วนใหญ่ พอเป็นระยะท้ายอย่างเช่น ระยะสาม...ระยะสี่ ก้อนจะใหญ่หรือว่าลุกลามไปแล้ว หรือกระจายไปแล้วการรักษาไปก็จะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ ให้เข้าใจตรงกันว่า...การใช้คลื่นความร้อนไมโครเวฟรักษา “มะเร็งตับ” จะทำกับก้อนเนื้อที่ใหญ่ไม่เกิน 5 เซนติเมตรเท่านั้น“สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน เวลาใครเป็นมะเร็งกว่าจะเจอก็เป็นเยอะระยะลุกลามแล้ว ตอนเด็กๆอาจจะได้ยินถ้าเป็นมะเร็งตับไม่ต้องรักษาหรอก กลับบ้านหาวัดเลย จริงๆก็ไม่ถึงขั้นนั้น เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ป่วยกันหนักจนกระทั่ง ต้องรอให้มีอาการถึงจะมาโรงพยาบาล...ปัจจุบันคนไม่น้อยก็ไปตรวจเจอก่อนโดยที่ยังไม่มีอาการของโรคเลย”หมั่นตรวจสุขภาพอยู่เรื่อยๆอย่างต่อเนื่องเป็นทางป้องกันที่ดีที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่สิ้นเปลืองแต่เป็นเรื่องที่คุ้มค่าที่เราไปรับบริการตรวจร่างกายประจำปี เคล็ดลับห่างไกลมะเร็ง...รู้เร็วก็รักษาได้เร็ว.