พญ.ภัทรวลัย ตลึงจิตร อาจารย์ประจำภาควิชา สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบหญิงตั้งครรภ์มีอัตราการผ่าคลอดเพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนของโรงพยาบาลศิริราชพบว่า แต่ละปีจะมีการคลอดประมาณ 8,000- 9,000 ราย โดยเกือบร้อยละ 50 เป็นการผ่าคลอด ซึ่งอยากแนะนำหญิงตั้งครรภ์ว่าหากไม่มีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องผ่าคลอด การคลอดปกติทางช่องคลอดจะดีที่สุด เนื่องจากโรงพยาบาลพบปัญหาแทรกซ้อนจากการผ่าคลอดเพิ่มขึ้น ทั้งปัญหาพังผืดในช่องท้องจากการผ่าคลอดมาก่อน ซึ่งหากผ่าคลอดซ้ำจะมีความเสี่ยงตามจำนวนครั้งที่ผ่า เช่น การฉีกขาดของกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ บางรายเกิดภาวะรกเกาะต่ำและเกาะแน่น หรือเกิดการปริแตกที่บริเวณแผลผ่าคลอดเดิมก่อนถึงกำหนดผ่าคลอดทำให้มีเลือดออกในช่องท้องรุนแรงถึงขั้นเสี่ยงเสียชีวิตได้พญ.ภัทรวลัย กล่าวต่อว่า สำหรับการดูแลตัวเองที่ดีที่สุดในสตรีที่จำเป็นต้องผ่าคลอด คือเว้นระยะการมีบุตรอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อให้แผลผ่าตัดที่มดลูกหายดี และหากเกิดการตั้งครรภ์ก็ต้องรีบมาฝากครรภ์ทันที เพื่อประเมินอายุครรภ์ให้แม่นยำและประเมินความเสี่ยงในการนัดผ่าตัด เนื่องจากยิ่งผ่าคลอดมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ในแต่ละคนมีความเสี่ยงไม่เท่ากันและไม่สามารถกำหนดได้ตายตัวว่าจะผ่าคลอดได้กี่ครั้ง แต่เมื่อมีการผ่าคลอดครั้งแรก หมายถึงจุดเริ่มต้นที่จะมีโอกาสได้รับอันตรายจากการผ่าคลอดครั้งต่อๆไป เพราะหากเคยผ่าคลอดแล้วส่วนใหญ่ก็ต้องผ่าคลอดอีก“การคลอดเองตามธรรมชาติมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งต่อตัวแม่ที่สามารถฟื้นตัวได้เร็วหลังคลอด มีแผลน้อยแค่บริเวณฝีเย็บ ส่วนลูกก็จะมีการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เนื่องจากเด็กจะได้รับโพรไบโอติกส์ ระหว่างที่ผ่านทางการคลอด นอกจากนี้ ในเด็กที่ผ่าคลอดมักจะมีปัญหาเรื่องภาวะหายใจเร็วมากกว่าเด็กคลอดทางช่องคลอด เนื่องจากน้ำในปอดไม่ได้ถูกรีดออกขณะผ่านช่องทางคลอดเหมือนเด็กที่คลอดปกติทางช่องคลอด อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่ทำให้อัตราการผ่าคลอดเพิ่มขึ้น ได้แก่ การมีลูกช้าลง เมื่ออายุมากร่างกายไม่แข็งแรงทำให้มีภาวะแทรกซ้อนมากขึ้นทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การที่มีความเชื่อว่าตอนท้องต้องกินเยอะๆ ทำให้เด็กตัวใหญ่ขึ้นจนคลอดเองไม่ได้ต้องทำการผ่าคลอด และการถือความสะดวกในการกำหนดวันเวลาคลอดที่แน่นอน” พญ.ภัทรวลัยกล่าว.