อยากเป็น 'สตาร์ทอัพ' ต้องทำอย่างไร พบ 5 กลยุทธ์ก่อนทำธุรกิจยุคดิจิทัล

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

อยากเป็น 'สตาร์ทอัพ' ต้องทำอย่างไร พบ 5 กลยุทธ์ก่อนทำธุรกิจยุคดิจิทัล

Date Time: 15 ก.ค. 2560 05:30 น.

Video

Sony ทำได้ยังไง ? หาเงินจากทุกสิ่ง แบบไม่ต้องวิ่งแข่งกับใคร | Digital Frontiers EP.51

Summary

ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชนต่างให้ความสำคัญกับธุรกิจ สตาร์ทอัพ ( Startup) เป็นอย่างมาก เห็นได้จากนโยบายของภาครัฐที่พยายามผลักดันผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีไอเดียทางด้านต่างๆ มาผนวกรวมกับเทคโนโลยีมา

Latest


ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือ เอกชนต่างให้ความสำคัญกับธุรกิจ สตาร์ทอัพ (Startup) เป็นอย่างมาก เห็นได้จากนโยบายของภาครัฐที่พยายามผลักดันผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีไอเดียทางด้านต่างๆมาผนวกรวมกับเทคโนโลยีมาใช้ทำธุรกิจ 

ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจเองไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการธนาคาร ภาคอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมเองก็จัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดูแลและบ่มเพาะปลุกปั้นธุรกิจสตาร์ทอัพ ให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เรียกได้ว่าวันนี้ธุรกิจสตาร์ทอัพ ได้แตกหน่อ ออกผล มาให้เราได้ทดลองใช้กันเป็นจำนวนมาก 

'ไทยรัฐออนไลน์' ขอนำ 5 กลยุทธ์ที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้จัดทำเอาเทคนิคสำคัญๆ มารวบรวมไว้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมาย มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความมุ่งมั่น ก่อเกิดเป็นไอเดียที่จะสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ ดังนี้

1. ต้องทำสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือพัฒนาแล้วแต่ยังไม่ตอบโจทย์

กลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะเป็นการเปลี่ยนทัศนคติหรือวิถีการใช้ชีวิตของผู้บริโภค โดยผู้ประกอบการจะต้องสร้างสินค้า หรือการบริการ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้และเกิดความรู้สึกประทับใจ ต่อยอดไปจนถึงการทำให้รู้สึกว่าสินค้าและการบริการนั้นๆ มีความจำเป็นจนกระทั่งเกิดความจงรักภักดีและขาดบริการหรือสินค้าเหล่านั้นไม่ได้ อาทิ บริการช่องทางการเงินระบบออนไลน์ บริการจองรถรับส่ง เป็นต้น

2. ต้องสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงใจผู้บริโภค

ปัจจุบันผู้บริโภคกลายเป็นผู้มีอำนาจอย่างเต็มที่ในการตัดสินใจซื้อหรือที่เรียกกันว่า Empowered Customer กลยุทธ์ในข้อดังกล่าวนี้จึงต้องผลิตสินค้าหรือบริการมาเพื่อแก้ปัญหา หรือตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละกลุ่มบุคคลที่มีความแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น ตอบสนองได้ทันทีทันใด

สำหรับกลยุทธ์ในข้อนี้มักเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นในด้านแฟชั่น ความงาม สุขภาพ อาหาร ท่องเที่ยว ฯลฯ โดยมีตัวอย่าง อาทิ บริการแนะนำร้านอาหาร บริการช็อปปิ้งออนไลน์

3. ต้องต่อยอดจากธุรกิจเดิม และเติมประโยชน์รองรับความต้องการใหม่

ปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่สตาร์ทอัพต้องมีและต่างจากธุรกิจแบบเดิมๆ คือการอาศัยโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาต่อยอดหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจที่เคยมีอยู่ ทั้งยังต้องเพิ่มประโยชน์หรือคุณค่าใหม่ๆ เสริมให้กับสินค้าหรือการบริการเก่าๆ โดยกลยุทธ์ในข้อนี้ต้องสามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกคุ้มค่าหรือเห็นด้วยกับการต้องเพิ่มค่าบริการที่มากขึ้น อาทิ บริการอาหารเดลิเวอรี่ บริการจองที่พักออนไลน์

4. ต้องใช้เทคโนโลยีหรือระบบออนไลน์ให้เป็นประโยชน์

เทคโนโลยีถือเป็นต้นทุนประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเสียเงินน้อยที่สุด ทั้งยังแสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความสะดวก เห็นภาพลักษณ์ที่ดีและความทันสมัยของธุรกิจ ช่วยทำให้วิธีการทำงานเดิมมีความหลากหลาย และง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันการสื่อสารผ่านโลกโซเชียลถือเป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลากหลายที่สตาร์ทอัพเลือกใช้เนื่องจากแทบไม่ต้องลงทุนใดๆ โดยสามารถอาศัยทั้งจากระบบสังคมออนไลน์ที่มีอยู่ รวมทั้งการพัฒนาให้เกิดขึ้นใหม่ อาทิ การเพิ่มฐานผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ระบบซื้อขาย-โฆษณาผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ เป็นต้น

5. ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร

สำหรับกลยุทธ์ข้อดังกล่าวนี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของการก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพ เนื่องจากการที่ผู้บริโภคมองหาความแปลกใหม่อย่างไม่จำกัดถือเป็นช่องทางให้เกิดการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ขึ้นมาได้อย่างไม่รู้จบ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความแปลกใหม่นั้นจะมีอยู่อย่างมากมายจนอาจนับไม่ถ้วน ผู้ที่จะก้าวเป็นสตาร์ทอัพก็ต้องสร้างสินค้าหรือบริการที่สามารถดำเนินการได้ในระยะยาว ต้องไม่เป็นธุรกิจที่ดำเนินขึ้นอย่างฉาบฉวย สามารถเพิ่มความแปลกใหม่และกิจกรรมส่งเสริมการขายเข้ามาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้เรื่อยๆ อาทิ บริการแอปพลิเคชันเพื่อการท่องเที่ยวครบวงจร บริการดูแลผู้สูงอายุ ธุรกิจบริการพนักงานขับรถ เป็นต้น

อนาคต 'สตาร์ทอัพ' ในประเทศไทย

ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในช่วงระยะ 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้ แนวความคิดการทำธุรกิจสตาร์ทอัพกำลังได้รับความนิยมจากบรรดาผู้ที่มีไอเดีย กล้าคิด กล้าฝัน และมีความต้องการที่จะผันตัวเป็นผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี และถือเป็นสัญญาณที่ต้องจับตามองเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับ ธุรกิจดิจิทัลสตาร์ทอัพ ในประเทศไทยโดยรวมแล้วนับว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ระดับเริ่มสร้าง ระดับกำลังเติบโต และระดับที่สามารถสร้างรายได้ด้วยตนเอง ในภาพรวมก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงพัฒนาความพร้อม ทั้งในด้านระบบนิเวศหรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการคิดค้นและประกอบธุรกิจดิจิทัลสตาร์ทอัพใหม่ๆ

รวมไปถึงการพัฒนาไอเดียที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ การนำเสนอแผนงานเพื่อการสนับสนุนการร่วมทุน ตลอดจนการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในยุคที่ระบบดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งและเข้ามาเป็นปัจจัยที่ 5 อย่างที่ปฏิเสธไม่ได้

ดร.พสุ กล่าวว่า สถานการณ์ของประเทศไทยในปี 2560 และในอนาคตการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพ นับว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจในการลงทุนอย่างสูง ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มมองหาสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นและความแปลกใหม่ในสินค้าและการบริการมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจเทคสตาร์ทอัพ หรือ สตาร์ทอัพด้านระบบเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ ที่คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ไว้ว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจดังกล่าวอาจมีมูลค่าราว 37,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น มีความเป็นไปได้สูงอีกว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ตลาดดิจิทัลจะทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดยเฉพาะจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ บริการแอปพลิเคชัน ธุรกิจซื้อขายออนไลน์ แพลตฟอร์ม และสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่จะเข้ามามีบทบาทในพฤติกรรมการดำเนินชีวิตจนเป็นปัจจัยที่ 5 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม กสอ.ได้จัดทำมาตรการการสนับสนุนด้านระบบนิเวศ (Co-Working Space) ที่เหมาะสมต่อการสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ๆ การจัดกิจกรรมสนับสนุนเงินทุนในรูปแบบต่างๆ การเติมเต็มไอเดียสู่การวางแผนธุรกิจให้น่าสนใจและเกิดขึ้นจริงได้ ตลอดจนการเขียนแผนธุรกิจและการเงินเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าตามเป้าหมาย

จากโครงการและกิจกรรมเพื่อการส่งเสริมในปี 2559 ที่ผ่านมา สามารถสร้างผู้ดำเนินธุรกิจในรูปแบบสตาร์ทอัพได้ถึง 590 ราย และในปีนี้ตั้งเป้าผลักดันให้เกิดผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวนี้อีกไม่ต่ำกว่า 800 ราย หรือเพิ่มขึ้น 36%

"เราคาดหวังให้มีกลุ่มสตาร์ทอัพที่ครอบคลุมหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพกลุ่มสาธารณสุขและเทคโนโลยีการแพทย์ กลุ่มหุ่นยนต์อัจฉริยะและระบบเครื่องกล กลุ่มเทคโนโลยีพลังงาน ตลอดจนกลุ่มดิจิทัล และระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อ"


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ