อธิบดีกรมสุขภาพจิต ชี้ ตัวเลขอุณหภูมิหัวใจคนไทยสูงขึ้น แนะอย่าพาเด็กไปม็อบเพราะจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ด้านผู้วิคราะห์จิตเพศชี้ อินการเมืองจัดอาจจะเซ็กส์เสื่อม ส่วนอธิบดีกรมอุตุฯ พยากรณ์ ก่อน-หลังวันชุมนุมใหญ่เสื้อแดงงอมพระรามเพราะโดนทั้งฝนและลูกเห็บยักษ์ซัด คาดวันชุมนุมแดดเผาซ้ำ..

ลุ้นตัวโก่งอีกระลอกใหญ่ หลังการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา เมื่อกลุ่มเสื้อแดง นปช. เขย่าซ้ำ นัดชุมนุมใหญ่ด้วยสโกนแกนเขย่าหัวใจประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำ "แดงทั้งแผ่นดิน" ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ จนประชนชนทั่วไปประหวั่นพรั่งพรึง ตกอยู่ในความอึมครึมของบรรยากาศความรุนแรง


ชาตรี บานชื่น

นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต แสดงความเป็นห่วงผ่านไทยรัฐออนไลน์ ถึงภาวะเครียดสะสมของประชาชนติดตามข่าวสารบ้านเมืองว่า ปัจจุบันความเครียดสะสมเกิดขีดอันตรายพอสมควร โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อายุไม่เกิน 20 ปีที่ผู้ใหญ่พาไปร่วมม็อบ

"ถือว่าอันตรายมากๆ เพราะพวกเขามีภูมิต้านทานความเครียดต่ำมากๆ ดังนั้นเราไม่ควรพาเด็กๆ เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เครียดๆ แบบนี้ เพราะว่าเด็กเขายังแยกแยะไม่ได้ เขาเรียกว่าภาวะการบาดเจ็บทางใจ ซึ่งอาจจะเกิดได้ ดังนั้นย้ำว่าการไปม็อบหรือการไปชุมนุม ไม่ควรเอาเด็กเล็กๆ หรือแม้กระทั่งวัยรุ่นไปม็อบเพราะว่าวัยนี้จะคล้อยตามอารมณ์ได้ง่าย และจะแสดงออกในความรุนแรงสูง ฉะนั้นแนะนำว่า ผู้ที่เข้ารวมม็อบต้องมีวุฒิภาวะของอารมณ์คือ 20 ขึ้นไป"



สำหรับหลักการขจัดความเครียดของคนในปัจจุบันว่า นพ.ชาตรี บอกว่า มีหลักง่าย 3 ประการ คือ  1. นอกจากจะต้องตั้งสติให้ดีๆ แล้ว ยังต้องฟังข้อมูลให้รอบๆ ด้าน ที่สำคัญอย่าไปหลงกับข้อมูลข่าวสารในด้านใดด้านหนึ่ง จนทำให้เกิดความเครียด บางคนอาจจะคล้อยตามง่าย ดังนั้นอยากจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับข้อมูลซ้ำๆ และหันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง 2. เมื่อหยุดรับข่าวสารแล้ว ควรหันไปหากิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น ดูหนัง เล่นกีฬา และ ฟังดนตรี กับเพื่อนหรือคนในครอบครัว และประการสุดท้าย เราต้องมีความมั่นใจว่าเมืองไทย มีพื้นฐานของคนที่รักความสงบ เป็นสังคมรอมชอม เป็นสังคมที่มีเมตตา

นอกจากนี้ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ยังเผยผลการสำรวจอุณหภูมิใจในช่วงก่อนวันที่ 14 มี.ค.53 ดีเดย์ที่เสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ว่า คนไทยจะเครียดเรื่องการเมืองไม่มากนัก แต่ทว่าที่น่าเป็นห่วงก็คือตัวเลขของความวิตกกังวลสูงขึ้น

"ยกตัวอย่างง่าย คือ ดัชนีชี้วัดสุขภาพ เช่น เรื่องน้ำหนักตัว เรื่องความดัน โลหิต โดยเฉพาะช่วงที่หลังจากการนับถอยหลังคดียึดทรัพย์นี้ ความอ้วนความผอม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจของปอดก็ยังอยู่ในที่เดิมนี่สำหรับคนทั่วไป แต่ที่น่าห่วงก็คืออุณหภูมิหัวใจที่สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะคนที่คล้อยตามง่ายๆ ก็อาจจะกระทบได้ง่าย"

อย่างไรก็ดี สิ่งที่อธิบดีกรมสุขภาพจิต อยากจะฝากไปถึงประชาชนในสภาวะความเครียดมากๆ แบบนี้ก็คือ ต้องย้ำเสมอว่าแตกต่างทางความคิดได้ แต่ไม่ควรจะทำให้เกิดความแตกแยก

"จากการสำรวจวันนี้เรามีความคิดแตกต่างกันแค่ 5 เปอร์เซนต์เท่านั้น แต่อีก 95 เปอร์เซนต์เราคิดเหมือนกัน ดังนั้นอย่าเอาความแตกต่างมาเป็นประเด็นหลัก ซึ่งถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็เลิกคุยซะ แล้วหันไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น เล่นกีฬา ฟังดนตรี" อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวในที่สุด

ด้าน นายวัลลภ ปิยะมโนธรรม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาและเรื่องจิตเพศ กล่าวถึงผลกระทบจากสภาวะความเครียดจากการเมืองรุมเร้า โดยเฉพาะตอนนี้คนทั้งประเทศอยู่ในช่วงลุ้นๆ แบบนี้ว่า ขณะนี้คนไทยประสบปัญหา ปวดหัวนอนไม่หลับ วิตกกังวลทางสังคม ส่งผลให้หวาดระแวง เข้าสังคมกับคนอื่นไม่ได้ และต้องหาทางออกด้วยการหาที่เพิ่งทางจิตใจ

"จะพบว่าระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา อาชีพหมอดู อาชีพแก้กรรมจะขายมากๆ คนไข้ที่มาหาผมบางคนไปดูดวงไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ไปแก้กรรมตัวเองและคนในครอบครัววันละเป็นสิบๆ ที่ ซึ่งผมเคยลงไปสำรวจพื้นที่ศาลแถวแยกห้วยขวางหลังจากลงไปพูดคุย ปรากฏว่ารู้เลยว่าปัจจุบันเศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ดี ทำให้คนไปหาที่พึ่งที่นั่นมากๆ ซึ่งในทางจิตวิทยาคนที่เครียดจนต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย ซึ่งหลายคนเครียดหนักจนกระทั่งเสียชีวิตลงไปก็มี"

นอกจากนี้ นายวัลลภ ยังบอกอีกว่า ผลข้างเคียงที่ถือว่าเป็นวิกฤติของผู้ที่ติดตามข่าวสารการเมืองมากๆ คือ จะมีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ โดย 70% พบในเพศหญิง

"เรื่องนี้เรื่องใหญ่ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง โดยผลกระทบมันสามารถแบ่งเป็น 2 กรณีคือ 1. เครียดมากๆ เซ็กซ์เสื่อม กับ 2. เครียดมากๆ มีอารมณ์ทางเพศสูง บางคนที่เครียดมากๆ ไปเที่ยวอาบอบนวดเพื่อผ่อนคลายวันละ 3 ครั้ง เพื่อไประบายอารมณ์เซ็กซ์ในนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ดังนั้นแนะนำให้หากิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นกีฬา ดูหนังฟังเพลง แม้กระทั่งดูหนังตลก หรือไปคาเฟ่ ซึ่งก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่งที่ช่วยได้" อ.วัลลภ กล่าว

ไทยรัฐออนไลน์ยังสอบถามไปยัง อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา โดยนายอังสุมาล  ศุนาลัย พยากรณ์ความเป็นไปได้ของสภาพอากาศในวันเคลื่อนทัพ วันที่ 14 มี.ค. ว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วงกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่นอกจากจะโดนพายุโซนร้อน โดยมีลูกเห็บขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาประเทศไทยแล้ว หลังจากนั้นประเทศไทยจะมีอากาศร้อนระอุมากกว่า 40 องศา

"คือตั้งแต่วันที่ 9 - 10 มี.ค.นี้ประเทศไทยจะมีพายุโซนร้อนเข้ามา ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเนื่องไปทำให้ฝนฟ้าคะนองหนัก โดยอาจจะมีลูกเห็บขนาดใหญ่ ซึ่งภาคเหนือ และภาคอีสานจะได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ดี ต้องดูปัจจัยความกดอากาศว่าจะอยู่นานหรือไม่ ต้องรอดูว่าพายุจะกลับไปยังประเทศจีนหรือไม่"

อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา คาดอีกว่าในวันที่ 14 มี.ค. ประเทศไทยจะเข้าสู่สภาวะร้อนระอุเหมือนที่ผ่านมา

"สิ่งที่อยากจะเตือนผู้ชุมนุมที่จะเคลื่อนขบวนเข้ามาในกรุงเทพฯ ในระหว่างวันที่ 12-14 เป็นต้นไป อีกว่า ช่วงนี้อากาศค่อนข้างมีความแปรปรวน อาจจะร้อนมาก หรือมีพายุ ผู้ชุมนุมควรดูแลตนเองด้วยการกินน้ำเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายไม่ให้เกิด “ฮีทสโตรก” เพื่อเป็นการป้องกันอีกทางหนึ่ง"

สำหรับโรค "ฮีทสโตรก" หมายถึง อาการที่เรียกว่าลมแดด โดยมีปัจจัยที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ถือว่าเป็นสภาวะฉุกเฉินอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยอาการของโรคฮีทสโตรกเริ่มแรกนั้นจะมีอาการกระหายน้ำ วิงเวียนศรีษะ คลื่นไส้ ชีพจรเต้นไว้ผิดปกติ และผิวหนังแห้ง ตัวร้อน และมีเหงื่อออกมาก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ากลไกการทำงานของร่างกายได้รับความร้อนมากเกิน ทำให้ส่งผลต่อการปรับตัวทางร่าง เช่น สมอง ตับ และกล้ามเนื้อ เป็นต้น เหล่านี้เป็นอาการเริ่มต้นของคนที่เป็น โรคฮีทสโตรก

แนวทางการช่วยเหลือ คือ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ถอดเสื้อผ้าออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกตัว และรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด  กลุ่มที่มีสภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคฮีทสโตรกได้แก่  กลุ่มคนที่ขาดน้ำในสภาวะอากาศร้อนจัด หรือกลุ่มคนที่ระบายความร้อนได้ช้า เช่น เด็ก หรือผู้สูงอายุ และกลุ่มคนที่มีโรคความดันโลหิตสูง.

...