ซบเซาอย่างหนักในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากเดิมอาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยและทั่วโลกติดอันดับต้นๆ แต่ก็ต้องมาเจอกับมรสุมครั้งใหญ่จากผลกระทบในเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อให้คนที่รักอาหารญี่ปุ่นอยากทานกันขนาดไหน ชั่วโมงนี้ก็ยังต้องเบรกไว้ก่อนชั่วคราว


สถานการณ์อาหารญี่ปุ่นในบ้านเราเองก็ตื่นกลัวไม่แพ้กัน เพราะร้านอาหารญี่ปุ่นแค่ในกรุงเทพมหานคร ก็มีมากมายนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว และต่างก็ได้รับผลกระทบครั้งนี้ทั้งหมด โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศญี่ปุ่น และละแวกใกล้เคียง อย่างเช่นร้านอาหารมูเกนได (MUGENDAI) ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เปิดมาได้ไม่ถึงปี แต่ได้รับความนิยมอย่างมาก  ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้เช่นกัน

...

วันนี้ ' ไทยรัฐออนไลน์ ' จึงได้กลับไปที่ร้านเพื่อพูดคุยกับ 'ก้อง - กมลสุทธิ์ ทัพพะรังสี'  เจ้าของร้าน ที่ช่วงนี้กำลังเร่งสร้างความมั่นใจให้กับคนทานอาหารญี่ปุ่น โดยการซื้อเครื่องตรวจสารกัมมันภาพรังสี ในอาหาร แบบชิ้นต่อชิ้น   ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันมากในร้านอาหารญี่ปุ่น รวมถึงธุรกิจที่เกียวข้องกับงานบริการที่มีศักยภาพสูงในการตรวจวัดค่ารังสี


"ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ร้านอาหารญี่ปุ่นทุกที่ได้รับผลกระทบกันหมดครับ อย่างที่มูเกนไดเองถือว่ายอดตกไปถึง 60%  เพราะคนเริ่มหันไปทานอาหารประเภทอื่นแทนมากขึ้น  ส่วนตัวผมเองเข้าใจนะ ว่าทุกคนกลัว ผมเองก็กลัวเหมือนกัน ตอนนี้ที่ร้านเลยแก้ไขสถานการณ์ เรียกความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ากลับคืนมาในหลายๆ วิธี อย่างแรกก็เรื่องการนำเข้าวัตถุดิบ เรามีการเปลี่ยน Supplier ด้วย และ จากเดิมที่นำเข้าจากญี่ปุ่น 50% ตอนนี้เหลือเพียง 20%   เป็นปลาจากฟาร์ม 2 ชนิดที่มาจากแถบโอซาก้า และเนื้อมัตสึซากะ ซึ่งล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ อย่างปลาโอโทโร่  แซลมอน ปูอลาสก้า ก็สั่งนำเข้ามาจากทางยุโรป และอเมริกาทั้งหมด ซึ่งต้นทุนการนำเข้าก็สูงขึ้น 10% แต่ก็ยังไม่ได้ขาดทุนอะไรครับ ราคาก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ก็ยังอยู่ที่เรทเดิมคือตั้งแต่ ซูชิราคา 50-450 บาท/คำ ซึ่งเป็นราคาปกติของอาหารที่นำเข้าวัตถุดิบชั้นดีจากต่างประเทศ ไม่ได้แพงไปกว่าเดิมครับ


อีกอย่างที่เรานำมาสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ก็คือเครื่องตรวจสร้างกัมมันตภาพรังสี ซึ่งเครื่องนี้มีศักยภาพที่สูง มั่นใจได้ 100% ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นขาดตลาดมาก เพราะเขาจะใช้ตรวจกันในร้านอาหาร โรงแรม หรือตามบ้านก็ใช้กัน ผมเพิ่งเอามาใช้ได้ 2 อาทิตย์ก่อน เวลาจะเสิร์ฟอาหารเราก็มีการตรวจให้ลูกค้าเห็น เพื่อมั่นใจได้ว่าซูชิทุกชิ้นที่นำมาทำอาหารที่ร้านสามารถทานได้ไม่เป็นอันตรายครับ ซึ่งตอนนี้ลูกค้าก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว"

...


การนำเครื่องตรวจสารกัมมันตภาพรังสีในอาหารมาใช้ที่ร้าน ก้องบอกว่าตัวเองศึกษามาเยอะพอสมควร เพื่อให้รู้ถึงรายละเอียดอย่างแท้จริง เรียกว่าเอาใจใส่เรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก แต่ยังคงความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุมาทำอาหารควบคู่ไปด้วย


" ผมรู้ว่าตอนนี้ทุกคนยังกลัวเรื่องการเจือปนของรังสีในอาหาร ซึ่งผมเองก็กลัวเหมือนกันนะ  ผมก็เลยลองศึกษาเรื่องพวกนี้ ว่าจริงๆ แล้ว ปริมาณรังสีที่เป็นอันตรายนั้นอยู่ที่มากกว่า 0.3 ไมโครขึ้นไป แต่ถ้าต่ำกว่า 0.2-0.1 ลงมาจะไม่มีผล

...


และทางร้านเราเองก็จะใช้เครื่องตรวจซูชิทุกชิ้นให้ลูกค้าดูกันเลยว่า ซูชิที่เสิร์ฟมีอันตรายไหม ตอนนี้นอกจากเสิร์พอาหารแล้ว เลยต้องมีเครื่องตรวจคู่มาด้วย จะได้สร้างความมั่นใจให้พวกเขา ว่าอาหารที่ร้านปลอดภัย ทานได้ และรสชาติอร่อยเหมือนเดิมครับ

ผมก็อยากให้คนรักอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยได้กลับมาลิ้มลองอาหารญี่ปุ่นที่มีมาตรการการป้องกันที่ดีพอ แต่อย่าไปกลัวว่าทุกๆ ร้านจะอันตรายไปหมด

...


ผมเชื่อว่าทุกร้านเขาก็มีทางเลือกที่จะสั่งของเข้ามาทำอาหาร ไม่จำเป็นต้องมาจากญี่ปุ่นเสมอไปครับ ถึงจะรสชาติด้อยลงมานิดนึง แต่ช่วงนี้ก็ต้องเอาเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อน"


อีกไม่นานเชื่อว่าซูชิ และอาหารญี่ปุ่น คงได้กลับมาผงาดอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าทั้งคนไทย และทั่วโลก ก็ยังคงติดใจในรสชาติ และคิดถึงอาหารสไตล์ญี่ปุ่นเหมือนที่ผ่านมา.