พบกับการขับทดสอบสมรรถนะของตัวรถ Lexus CT200h บนระยะทางกว่า 450 กิโลเมตร...

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 บริษัท Lexus Thailand Co.Ltd โดยการนำของคุณวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Toyota Motor Thailand Co.Ltd พร้อมด้วยทีมงาน PR เชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์ร่วมลงทำการทดสอบรถยนต์ Lexus CT200h สปอร์ตแฮทช์แบค 5 ประตูรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ถือได้ว่าเป็นรถ 5 ประตูแบบ Sub-Compact เครื่องยนต์ Hybrid คันแรกของค่าย Lexus โดยใช้เส้นทางจากหน้าโรงแรมเรเนซอง ถนนเพลินจิต มุ่งหน้าสู่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

...


13.00 น. หลังจากฟังการบรรยายถึงการใช้อุปกรณ์ทั้งภายในและภายนอก รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดบนตัวรถ Lexus CT200h จากวิศวกรของ Lexus แล้ว ขบวนรถทดสอบทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วยรถ Lexus CT200h รุ่นสูงสุด Luxury และรุ่น F-Sport จำนวน 6 คัน รถ Lexus IS250 2 คัน รถ Lexus RX350 2 คัน รถ Lexus LS430 1 คัน กับเจ้า Toyota New-Prius อีก 1 คัน ก็เคลื่อนขบวนออกจากบริเวณหน้าโรงแรมเรเนซอง โดยใช้เส้นทางทดสอบช่วงแรกวิ่งฝ่าเข้าใปยังใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่ออวดโฉมรถรุ่นใหม่ วิ่งขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้า แล้วใช้ทางลอยฟ้าตลิ่งชัน-พุทธมณฑล ไปยังนครปฐม ราชบุรี บ้านโป่ง เพชรบุรี ชะอำ จนไปสุดเส้นทางทดสอบในช่วงวันแรกที่โรงแรมเชอราตันหัวหิน-ประจวบฯ


การขับทดสอบในวันแรก เจ้าหน้าที่ทีม PR ของ Lexus จัดรถทดสอบรุ่น CT200h F-Sport สีเงิน Silver Mica Metallic ให้กับผมและคุณสมวิน จากนิตยสาร EVO Magazine ได้ขับทดสอบร่วมกัน โดยเส้นทางช่วงแรกจากกรุงเทพฯ วิ่งอ้อมไปยังจังหวัดราชบุรี ตัดเข้าเส้นสี่แยกวังมะนาวเพื่อไปยังจังหวัดเพชรบุรี ผมรับหน้าที่ขับเป็นคนแรก แวบแรกที่ได้พบเห็นตัวเป็นๆ ของรถรุ่นล่าสุดจาก Lexus ผมก็พบกับความแปลกใหม่ในรูปทรง สีสันและอุปกรณ์รวมถึงตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกบรรจุอยู่ในเจ้า CT200h รุ่น F-Sport ซึ่งเป็นรถรุ่นรองลงมาจากตัวท็อปสุด (รุ่นPremium roof) ที่เหมือนกับรุ่นสูงสุดทุกอย่างยกเว้นหลังคาแบบ Sunroof จอมอนิเตอร์ 7 นิ้ว และแป้นสั่งงาน Remote Touch กับกล้องช่วยจอดเท่านั้นที่ไม่มีให้มา เมื่อมองดูรูปทรงและลักษณะของการออกแบบแล้ว Lexus CT200h มีเรือนร่างที่เน้นไปในทางรถสปอร์ตแฮทช์แบค 5 ประตู ที่มีความกระทัดรัดมาก เหมาะกับกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ชื่นชอบความหรูหราของแบรนด์ตราหัวลูกศร และมักใช้รถยนต์ส่วนตัวในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯที่มีสภาพการจราจรติดขัดอย่างหนัก

...


ตำแหน่งของการขับขี่เจ้า CT200h บนตัวเบาะแบบสปอร์ตที่ปรับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 3 ระดับ เป็นไปตามการออกแบบที่เน้นบรรยากาศแบบสปอร์ต เมื่อลองปรับตัวเบาะโดยกดสวิชท์ด้านล่างเพื่อลดความสูง มันทั้งต่ำและสามารถยืดแข้งขาได้อย่างเต็มที่ซึ่งเหมาะสมกับท่านั่งที่ต้องการความกระชับในการควบคุม เบาะหุ้มหนังแท้เกรดสูงนั่งได้นิ่มสบายและกระชับดีมาก มุมมองรอบตัวชัดเจนใช้ได้ แต่มุมจากการมองด้วยกระจกมองหลังจะเล็กไปนิด เนื่องจากกระจกบานหลังมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เส้นทางในกรุงเทพฯ เหมาะกับโหมด ECO/EV ที่เน้นความประหยัดโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของชุดควบคุมการส่งถ่ายกำลังในโหมดนี้จะปรับการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าให้รับหน้าที่ในการขับเคลื่อนตัวรถโดยใช้กำลังของเครื่องยนต์เท่าที่จำเป็น เมื่อความเร็วเกินกว่า 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานในรถยนต์แบบ Hybrid คันเร่งไฟฟ้า Drive By Wire มีอาการตอบสนองที่ยืดหยุ่น ระบบส่งกำลัง E-CVT จะไหลขึ้น-ลงไปเรื่อยๆตามความเร็วเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง

ในโหมด ECO/EV นี้ การขับเคลื่อนของตัวรถทั้งหมดจะถูกควบคุมด้วยระบบ Lexus Hybrid Drive พัดลมแอร์ในห้องโดยสารจะถูกปรับการทำงานให้น้อยลงเมื่อความเย็นพอเพียง จอมาตรวัดมุมซ้ายจะเป็นมาตรวัดทรงกลมบอกตำแหน่งของการใช้พลังงาน ที่สลับไปมาระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและกำลังของเครื่องยนต์ รวมถึงการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา หน้าปัดทั้งหมดในโหมดนี้จะมีโทนสีฟ้าให้ผู้ขับขี่ได้รับรู้ว่ากำลังอยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน

...


สภาพการจราจรที่แออัดบนถนนเจริญผล มุ่งหน้าแยกวรจักรกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวในช่วงต้นเดือนมีนาคมของกรุงเทพฯ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการขับขี่เจ้า Lexus CT200h แต่อย่างใดทั้งสิ้น เนื่องจากมันเป็นรถที่มีมิติไม่ใหญ่โตเท่าใดนักและสามารถวิ่งมุดเข้าออกเปลี่ยนเลนไปมาได้อย่างสะดวก ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลแยกส่วนส่งถ่ายความเย็นฉ่ำของพัดลมภายในห้องโดยสาร ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถยนต์จากญี่ปุ่น ถึงแม้อากาศภายนอกจะร้อนถึง 36 องศาเซลเซียส แต่ภายในห้องโดยสารของเจ้า CT200h กลับเย็นสบายด้วยระบบแอร์ที่พัฒนาจากค่าย Lexus ให้สามารถวิ่งใช้งานในเขตร้อนได้อย่างไร้สิ้นซึ่งปัญหาความร้อนใดๆ ทั้งปวง บนถนนนครชัยศรีเริ่มมีการจราจรที่เบาบางลง ผมเริ่มเปลี่ยนจากโหมด ECO/EV ไปเป็นโหมด Power ด้วยการหมุนแป้นอลูมิเนียมทรงกลมของปุ่มปรับโหมดการขับเคลื่อน มาตรวัดที่เคยเป็นสีฟ้าปรับเปลี่ยนมาเป็นสีแดงทันที คันเร่งไฟฟ้ามีความกระชับและให้อัตราเร่งที่ดีขึ้นผิดหูผิดตา จากการวิ่งด้วยโหมดประหยัดมานาน

ในโหมด Power นี้ มาตรวัดย่านของพลังงานและการชาร์จไฟจะกลายไปเป็นมาตรวัดรอบที่ร้อนแรงด้วยการใช้โทนสีแดงและเหลืองในหน้าปัดวัดรอบ ซึ่งมีรอบมาให้ถึง 8,000 รอบต่อนาที อาการตอบสนองของตัวรถต่อการกดคันเร่งแบบจมมิดเพื่อเรียกอัตราเร่งยังคงเป็นไปด้วยความต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่กระชากจนหลังติดเบาะแบบรถยนต์มาดสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์ปกติ แต่ก็มีความต่อเนื่องของย่านกำลังที่ทำงานประสานกันไปทั้งสองระบบออกแนวไหลๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนความเร็วเข้าใกล้ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

...


CT200h บนการทดสอบโหมด Power-Sport จะมีการปรับอัตราการตอบสนองของลิ้นควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงให้กว้างขึ้น เพิ่มกำลังไฟจากแบตเตอรี่ที่ 500 โวลต์เป็น 650 โวลต์ในทันที พร้อมกับการปรับอัตราทดของระบบพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ให้กระชับและฉับไวขึ้นเล็กน้อย ชุดควมคุมการทรงตัวของรถแบบ VSC หรือ Vehicle Stability Control กับระบบป้องกันการลื่นไถล TRC หรือ Traction Control จะอยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมกับการรับอาการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแล้วเข้ามาแทรกแซงเพื่อป้องกันการเสียสมดุลในการควบคุมที่ระดับความเร็วสูง ชุดมาตรวัดที่เปลี่ยนจาก Ecometer สีฟ้าไปเป็น Tachometer สีแดงช่วยเพิ่มเติมสีสันและความแปลกใหม่ในการขับขี่ได้ดี แถมยังเอาไว้โม้กับเพื่อนๆเมื่อขึ้นมานั่งได้อีกด้วย


สิ่งที่รถ Hybrid CT200h มอบให้กับเจ้าของคือความเงียบและประหยัดอย่างสุดๆ เมื่อเทียบกับเสียงที่ดังและสั่นสะเทือนมากกว่าของเครื่องยนต์ดีเซล เมื่อใช้งานในเขตเมืองที่มีรถหนาแน่นเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT ถูกปรับเซตมาให้ขับได้ง่ายและนุ่มนวล ชุดเกียร์แบบไฟฟ้าที่ไม่มีคันชักโดยสั่งงานที่โหมดการขับและมีแค่ตำแหน่ง D / N / R / B คือการเปิดหน้าใหม่ของการขับขี่ สวิทช์ปุ่มปรับเครื่องเสียงและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ตามสไตล์การออกแบบภายในที่ Lexus เชี่ยวชาญ ระบบนำทางด้วยดาวเทียมใช้งานได้จริงโดยแจ้งตำแหน่งบนแผนที่เป็นภาษาไทย พวงมาลัยหุ้มหนังแท้สีดำเย็บด้วยด้ายสีขาวจับได้กระชับและนุ่มมือดี โดยเฉพาะโหมด Power สามารถสื่อสารกับผิวถนนได้อย่างหมดจดใกล้เคียงพวกคู่แข่งจากยุโรปอย่าง BMW 318i e90 หรือแม้แต่ Mercedes Benz C200 CDI เบรคอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ ไม่ถึงกับดีมาก แต่มีความเหมาะสมกับย่านของกำลัง ส่วนแป้นเบรคมือถูกย้ายลงไปอยู่ในตำแหน่งใต้เท้าซ้าย เมื่อต้องการขึ้นเบรคมือก็เพียงแค่ใช้เท้ากดลงไปเท่านั้น ชุดเบรคมือก็จะล็อกตัวเองทันที ส่วนการปลดเบรคมือก็ใช้เท้ากดย้ำลงไป แป้นเบรคมือจะคืนตัวออกมาช่วยเพิ่มพื้นที่บริเวณคอนโซลกลางให้สามารถใส่ของกระจุกกระจิกได้แทน


บนอัตราเร่งที่ 10.23 วินาที ในการตะกายไปสู่ย่านความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นไปตามลักษณะของเครื่องยนต์ลูกผสมแบบ Hybrid ที่มักมุ่งไปที่ความประหยัดมากกว่าความแรงและสวนทางกันอย่างเต็มๆ กับรูปทรงของมันที่ดูเหมือนจะรองรับม้าได้มากกว่า 250 ตัว เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรตัวนี้ถูกออกแบบมาให้มีแรงบิดที่ดีในช่วงรอบกลางเป็นหลัก มีการปล่อยมลพิษต่ำและความประหยัดทดแทนแรงบิดแบบสปอร์ตซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการออกแบบเพื่อวางลงใน CT200h แต่ก็ไม่แน่ถ้ามีการปล่อยเครื่อง 2.0 ลิตรติดระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบตามออกมาในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ในอีก 2 ปีต่อจากนี้ เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรตัวนี้มีการทำงานที่ราบเรียบมากๆ เจ้าของรถจึงสามารถขับมันได้ด้วยความสะดวกและนุ่มนวล ตรงกันข้ามกับระบบรองรับของมันที่หนึบและมั่นคงตามสไตล์ยานยนต์ของค่าย Lexus ที่มักมุ่งเน้นในสมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังและช่วงล่างแบบสปอร์ต


เมื่อผมลองขับเข้าสู่ทางโค้งด้วยความเร็วสูงบนสะพานต่างระดับแถวราชบุรี มันมีการยึดเกาะที่ดีและแทบจะไม่แตกต่างไปจากรถหรูรุ่นอื่นๆ ที่มีเครื่องยนต์กับแรงม้าใกล้เคียงกัน อาการโคลงตัวที่ความเร็วสูงมีเพียงเล็กน้อยและปราศจากอาการหน้าดื้อโค้งอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะเป็นรถ Hybrid ที่ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้าจากการใช้เหล็กค้ำโช๊ค ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตัวถังและโครงสร้างของ CT200h มีความแข็งแกร่งในระดับที่ดี การตอบสนองของพวงมาลัยกับช่วงล่างทั้งหมดจึงเป็นไปอย่างฉับไวและมั่นคง แต่คันเร่งไฟฟ้าของเจ้า CT200h กลับไม่เปิดโอกาสให้คุณได้ซ่ามากนักและทำได้เพียงแค่ไต่ความเร็วขึ้นไปแบบเรื่อยๆ แทนที่จะกระชากกระชั้นเหมือนกับรถสปอร์ตบางรุ่น สิ่งที่เข้ามาทดแทนในจุดดังกล่าวคือเทคโนโลยีของระบบต่างๆ ที่ก้าวล้ำกว่าพวกยุโรปในเรื่องของการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่ากับรูปลักษณ์ที่สวยงามของแฮทช์แบค 5 ประตูยุคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้


เมื่อถึงจุดแวะพักเพื่อทำการเปลี่ยนคนขับที่ร้านกาแฟคนรักษ์สวนในจังหวัดราชบุรี พี่สมวินจากนิตยสาร EVO Magazine จึงเข้ามารับหน้าที่ต่อจากผม เส้นทางช่วงสุดท้ายของการขับทดสอบในวันแรกจากราชบุรีไปเพชรบุรี ชะอำ และหัวหินมีถนนที่กว้างขวางพอสมควรจากการปรับไหล่ทางของกรมทางหลวง ตั้งแต่สี่แยกวังมะนาวไปจนถึงเขตอำเภอท่ายาง พี่สมวิน จิรศักด์อานนท์ คอลัมนิสต์ของ EVO Thai Edition เริ่มทำการลงแส้เจ้า CT200h โดยมีผมนั่งจับอาการของตัวรถที่วิ่งห้อด้วยความเร็วสูงไปตลอดทาง แม้จะไต่ความเร็วขึ้นไปถึง 178 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่การเก็บเสียงก็ยังทำออกมาได้ดี ห้องโดยสารของมันมีความเงียบสนิทอยู่ในระดับที่ใช้ได้เลยทีเดียว มีเพียงแค่เสียงของยางที่บดถนนกับรอยต่อในสภาพต่างๆ กัน ทั้งถนนปูนซีเมนต์และถนนลาดยางมะตอยดังลอดเข้ามาพอให้ได้ยินในระดับโทนเสียงที่แตกต่างกัน การวิ่งแช่ที่ความเร็ว 140-160 กิโลเมตรบน CT200h คือระดับปกติของการขับขี่ทางไกลซึ่งมันตอบสนองได้ดีในระดับหนึ่ง รอบเครื่องที่ไม่สูงมากนักกับรูปทรงที่แบนเตี้ยมีส่วนเป็นอย่างมากในเรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่ารถเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ทั่วไป ส่วนการจัดวางอุปกรณ์และรูปแบบของการใช้งานนั้น น่าจะโดนใจคนรุ่นใหม่ที่นิยมของหรูหราไปแบบเต็มๆ


เช้าวันอังคารที่ 1 มีนาคม ผมขับเจ้า CT200h รุ่น Premium Navi สี Flare Yellow Metallic เพื่อไปเก็บภาพตัวรถกับบรรยากาศของชายทะเลสวยๆย่านชะอำ-หัวหินที่เงียบสงบ เนื่องจากเป็นวันทำงาน เป็นการถ่ายภาพช่วงสุดท้ายก่อนเปลี่ยนไปขับเจ้า IS250 กลับกรุงเทพฯ ตลอดระยะเวลาช่วงสั้นๆที่ได้มีโอกาสทดสอบสมรรถนะของมันดูทำให้เริ่มชอบสไตล์และการบังคับควบคุมที่โดนใจ ใครก็ตามที่ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง BB หรือ iPad ก็น่าจะชอบเจ้ารถคันนี้ด้วยอย่างแน่นอน สิ่งที่ชอบนอกจากสไตล์และรูปแบบของตัวรถแล้ว ห้องโดยสารที่ออกแบบมาอย่างดีจากการจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆที่ลงตัว การใช้งานของหน้าจอมัลติฟังก์ชั่นเมื่อลองเปลี่ยนโหมด แป้น Remote Touch ที่ควบคุมระบบนำทางกับหัวเกียร์ไฟฟ้าทรงแปลกตา รวมถึงเครื่องเสียงติดรถที่ให้มาก็มีคุณภาพสูงตามลักษณะของแบรนด์ ระบบส่งกำลังที่ทำงานอย่างนิ่มนวลแทบไม่รู้สึก ต่างๆ เหล่านี้สำหรับผู้ที่สนใจก็ต้องลองไปขับทดสอบดูด้วยตัวเองแล้วก็จะพบว่ามันเหมาะสมกับคุณหรือไม่.

Lexus CT22h Specifications

แบบ............................................แฮทช์แบค 5 ประตู Sub-Compact
เครื่องยนต์..................................แถวเรียง 4 สูบ 1.8 ลิตร DOHC VVT-i รหัส2ZR-FXE
ปริมาตรความจุกระบอกสูบ.........1,798 ซี.ซี.
แรงม้าสูงสุด................................98 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด...............................142 นิวตันเมตรที่ 2,800-4,400 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง.....................หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI
ชุดมอเตอร์
กำลังไฟฟ้าสูงสุด.........................650 โวลต์
กำลังสูงสุด..................................60 กิโลวัตต์
กำลังรวมสูงสุด (เครื่องยนต์+มอเตอร์ไฟฟ้า).....136 แรงม้า
แบตเตอรี่...................................Sealed Ni-MH (Nickle Metal Hydride
โมดูล...........................................168 Cells 201.6 V
การต่อเชื่อม.................................แบบอนุกรม
ความจุกระแสไฟ..........................6.5 Ah (3h)
อัตราเร่ง.......................................0-100 กิโลเมตรใน 10.23 วินาที
ความเร็วสูงสุด.............................180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราการลิ้นเปลืองเชื้อเพลิง........19-21 กิโลเมตรต่อลิตร
มาตรฐานการปล่อยมลพิษ...........EURO V
ระบบกันสะเทือน
ด้านหน้า.......................................แม็คเฟอร์สันสตรัท โช้คอัพแก็ซ สปริง เหล็กกันโคลง เหล็กค้ำโช๊ค
ด้านหลัง.......................................ดับเบิ้ลวิชโบน สปริง เหล็กกันโคลง
ระบบส่งกำลัง...............................เกียร์อัตโนมัติ E-CVT
ลักษณะการวางเครื่องยนต์..........เครื่องยนต์วางตามขวางด้านหน้า-ขับเคลื่อนล้อหน้า
ระบบบังคับเลี้ยว..........................Rack And Pinion-EPS
ล้อและยาง....................................อัลลอยขนาด 16 นิ้ว ยาง Yogohama ขนาด 205/55/R16
ความจุถังเชื้อเพลิง........................45 ลิตร
ราคา
รุ่น Luxury ...................................2,190,000 บาท
รุ่น F-Sport....................................2,390,000 บาท
รุ่น Premium Navi.........................2,590,000 บาท
รุ่น Premium roof..........................2,690,000 บาท

Arcom Roumsuwan
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook http://www.facebook.com/chang.arcom