เป็นที่รู้กันว่า อาหารเช้ามีประโยชน์ถือเป็นพลังแห่งการเริ่มต้น แต่พฤติกรรมของเด็กกรุงกลับเมินอาหารมื้อแรกอันสำคัญของชีวิตประจำวัน ทั้งนี้จากการสำรวจพฤติกรรมการรับประทานอาหารเช้าของเด็กนักเรียนใน กรุงเทพมหานคร โดย รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล จาก สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ พบว่า เด็กชั้น ป.5-6 ร้อยละ 48 มีพฤติกรรมงดอาหารเช้า หรือไม่กินอาหารเช้าสม่ำเสมอ ขณะที่เด็กชั้น ป.3-4 ร้อยละ 40 มีพฤติกรรมงดอาหารเช้า ส่วนสาเหตุหลักของการอดอาหารนั้น เด็กๆบอกเสียงเดียว กันว่า ไม่หิว ไม่มีเวลา เพราะตื่นสายและไม่มีใครทำอาหารเช้าที่บ้าน


รศ.ดร.ประไพศรี บอกว่า พฤติกรรมนี้สอดคล้องกับรายงานการสำรวจพฤติกรรมการรับประทานอาหารเช้าของเด็ก ในต่างประเทศ และเป็นที่น่าสังเกตว่า พฤติกรรมการงดอาหารเช้าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้นแฟชั่นการอดอาหารเช้า ของเด็กโตในชั้นประถมศึกษาเริ่มขยายตัวมากขึ้น เพราะเด็กชั้น ป.3-4 ร้อยละ 40 ไม่ทราบว่าการงดอาหารเช้าไม่ช่วยในการลดน้ำหนัก เด็กร้อยละ 30 เข้าใจว่า อาหารเช้าทำให้อ้วน

นอกจากนี้ อาจารย์ประไพศรียังย้ำความสำคัญของอาหารมื้อแรกของวันด้วยว่า คำว่า Breakfast หมายถึง break the overnight fast หรือหยุดการอดอาหารที่ผ่านมาทั้งคืนนั้นคือ อาหารเช้าเป็นการเติมพลังงานแห่งการเริ่ม ต้นในวันใหม่ อาหารเช้าจึงถือเป็นมื้อสำคัญที่สุด เพราะเมื่อตื่นนอนในตอนเช้าระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำทำให้ ไม่มีพลังงานไปเลี้ยงสมอง การละเลยอาหารเช้าจะทำให้ หงุดหงิด อารมณ์เสีย เครียด อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ ดังนั้นการงดอาหารเช้าทำให้มีผลต่อการเรียนรู้และความจำ โดยอาหารเช้าที่เหมาะสมควรมีพลังงานและสารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 ของปริมาณที่ควรได้รับตลอดวัน

นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษา โดย The Asian Food Information Center ทำการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัย 4 แห่งในภูมิภาคเอเชีย พบว่า เด็กที่กินอาหารเช้าเรียนดีกว่าเด็กอดมื้อเช้า เพราะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมากกว่า ทำให้มีการเรียนรู้และความตั้งใจเรียนดีกว่า แก้ปัญหาต่างๆและทำคะแนนได้ดีกว่า เพราะเด็กที่อดมื้อเช้าจะเกิดความเครียดที่มีผลต่อการทำงานของสมองโดยตรงและ ฮอร์โมนคอร์ติซอล ทำให้มีความต้องการน้ำตาลทั้งวัน และเด็กที่กินอาหารเช้าทุกวันมีโอกาสน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนน้อยกว่าเด็ก อดมื้อเช้า เนื่องจากสามารถควบคุมความหิวในมื้อถัดไปได้ดีกว่า.

...