พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า กสทช.จะต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้ความรู้ และความเป็นไปของธุรกิจบริการแพร่ภาพและเสียงผ่านโครงข่ายอื่นที่ไม่ใช่โครงข่ายกระจายเสียงและโทรทัศน์ (Over The Top : OTT) ในประเทศไทย เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ กสทช.กำลังศึกษาหาแนวทางกำกับดูแลและสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน ขณะเดียวกันต้องไม่สร้างผลกระทบต่อสาธารณะด้วย โดยคาดว่าภายใน 3-4 เดือนข้างหน้าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น “ขณะนี้ยังไม่มีแนวทางว่าจะกำกับดูแลอย่างไร เพราะต้องฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนก่อน แต่สิ่งที่ตอบได้ชัดเจนคือ การจัดระเบียบธุรกิจ OTT ไม่เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนสื่ออย่างแน่นอน แต่เหตุที่ต้องมาทำในช่วงนี้ เพราะจังหวะและเวลาที่เหมาะสม และได้รับมอบหมายจากบอร์ด กสทช.ให้ดำเนินการด้วย”

สำหรับบัญชีเฟซบุ๊ก หากเป็นการสื่อสารเฉพาะบุคคลไม่ต้องกังวล เพราะ กสทช.ไม่ได้เข้าไปกำกับดูแล เนื่องจากเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่หากมีการถ่ายทอดสดหรือ “เฟซบุ๊ก ไลฟ์”ซึ่งมีลักษณะเผยแพร่เป็นการทั่วไปและมียอดตามจำนวนมาก มีผลประโยชน์ทางธุรกิจก็ต้องพิจารณาในรายละเอียด ส่วนกรณีกลุ่มไลน์ แม้จะมีสมาชิกในกลุ่ม 200-300 คน การส่งข้อมูลภายในกลุ่มก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่ใช่เป็นการเผยแพร่เป็นการทั่วไป กสทช.คงไม่เข้าไปกำกับดูแล ฉะนั้นขอให้ประชาชนอย่าได้วิตกกังวล เพราะ กสทช.ไม่ได้เข้าไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่จะกำกับดูแลเฉพาะที่แพร่ภาพและเสียงและมีผลกระทบต่อสาธารณะในวงกว้างเท่านั้น

ทั้งนี้ ผลการศึกษาเบื้องต้นของบริษัทที่ปรึกษาได้กำหนดลักษณะของผู้ให้บริการโอทีทีเป็น1.ผู้ให้บริการอิสระ ได้แก่ เฟซบุ๊ก ยูทูบ เน็ตฟิกซ์ ไอฟิกซ์ ฮอลลีวูด ไลน์ทีวี 2.ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่ให้บริการ ได้แก่ โชว์ไทม์ เอชบีโอ เอ็มแอลบี ทีวี 3.ช่องรายการทีวีที่ให้บริการโอทีที ได้แก่ โมโน ช่อง 3 ช่อง 8 ช่องเวิร์คพอยท์ ช่อง 7 ช่องวัน เป็นต้น 4.ผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ให้บริการ ได้แก่ เอไอเอสเพย์ สิงเทลทีวีโก 5.ผู้ให้บริการเพย์ทีวีในรูปแบบโอทีที ได้แก่ พีเอสไอ ทรูวิชั่นส์ 6.ผู้ให้บริการโอทีทีที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการ ได้แก่ ฮูลูพลัส, HooQ, prestoเป็นต้น ขณะที่มูลค่าตลาดโอทีทีในประเทศไทย เฟซบุ๊กครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งมูลค่า 2,842 ล้านบาท ยูทูบ 1,663 ล้านบาท.

...