ทำเพื่อเสถียรภาพรัฐ ให้ทร.แจง ‘เรือดำนํ้า’สปท.ดัน ก.ม.ครอบงำสื่อถกฟลอร์ใหญ่ด่วนจี๋ 1 พ.ค. เร็วกว่าเดิมที่กำหนดไว้ 9 พ.ค. คาดพร้อมใจกันกดปุ่มผ่านฉลุยแน่ เผยรายละเอียด ก.ม.ยังสะท้านใจแม้ปรับแก้แล้ว สื่อไม่จดทะเบียนวิชาชีพโทษจำคุก 3 ปี องค์กรไหนรับสื่อไม่จดทะเบียนเจอโทษอัตราเดียวกัน “คณิต” อ้างมีสื่อหนุนเองให้ใช้ระบบใบอนุญาต แม่น้ำ 5 สาย ดาหน้าโต้ครอบงำสื่อ “มีชัย” จี้สื่อหาเหตุผลมาโต้แย้ง พร้อมเสนอแนวทางกำกับกันเอง นายกฯชี้ชัดเพื่อแยกสื่อดี-ไม่ดี ยกสื่อโซเชียลล้ำเส้นละเมิดสิทธิ แจงต้นตอปัญหาเพราะสื่อคุมกันเองไม่ได้ เกิดปัญหาแล้วหาคนรับผิดชอบไม่มี “วิษณุ” โยนกองทัพชี้แจงเรือดำน้ำ แจงรัฐบาลใหม่ยกเลิกได้ พท.-ปชป.ยังตามสับทำไม่เหมาะยังเป็นประเด็นคัดง้างทางความคิด สำหรับร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) อ้างว่าดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปประเทศ ขณะที่วงการสื่อสารมวลชนมองว่าเป็นการคุกคาม ครอบงำ พร้อมเดินหน้าคัดค้านอย่างเต็มกำลัง ล่าสุดวันที่ 1 พ.ค.จะมีการหยิบยกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมาพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ สปท.สปท.ดัน ก.ม.ครอบงำสื่อ 1 พ.ค.เมื่อวันที่ 27 เม.ย. เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิป สปท.) ที่มี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธาน สปท. เป็นประธานการประชุม ภายหลังประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกวิป สปท.แถลงว่า วันที่ 1 พ.ค. ที่ประชุม สปท. จะพิจารณารายงานการปฏิรูปของคณะ กมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน 2 เรื่อง 1.ร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน 2.ร่าง พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ ผู้สื่อข่าวถามว่า เนื้อหาของร่างกฎหมายคุมสื่อยังมีความเข้มงวด นายคำนูณตอบว่า ที่ผ่านมาวิป สปท.พิจารณาแล้ว และมีมติให้นำไปทบทวน โดยให้ความเห็นต่อ กมธ.สื่อฯ 3-4 ประเด็น ก่อน ที่จะเสนอกลับมายังวิป สปท.อีกครั้ง โดย กมธ.สื่อฯยังคงยืนยันความเห็นเดิมว่าได้ทบทวนแล้ว ยืนยันในประเด็นที่ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธาน กมธ.สื่อฯ กับ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธาน กมธ.สื่อฯ ได้ออกมาแถลงข่าวความคืบหน้าการพิจารณาเป็นระยะ วิป สนช.จึงมีมติให้นำเข้าสู่ระเบียบ วาระการประชุมเพื่อให้สมาชิกได้แสดงความเห็น ไม่ใช่การตอบโต้ไปมาระหว่างตัวแทนองค์กรสื่อฯกับ กมธ.สื่อ ส่วนจะมีโอกาสที่ร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกตีกลับมาทบทวนอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับที่ประชุมวันที่ 1 พ.ค.คาดสามัคคีกดปุ่มผ่านฉลุยแน่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมวิป สปท. ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ตามที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน ที่มี พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมาให้ที่ประชุมวิป สปท.พิจารณาอีกครั้ง หลังจากไปปรับปรุงเนื้อหาที่ถูกท้วงติง โดยยินยอมตัดตัวแทนภาครัฐที่เข้าไปเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จาก 4 คน เหลือ 2 คน ซึ่งที่ประชุมวิป สปท.ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.อย่างละเอียดแล้วจึงเห็นชอบให้บรรจุร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุม สปท.ในวันที่ 1 พ.ค. ขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท. และนายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษก สปท. ตั้งข้อสังเกตว่า การให้ตัวแทนภาครัฐเข้าไปนั่งเป็นกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ และมีหน้าที่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะทำให้เกิดแรงต้านจากสื่อมวลชนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม วิป สปท.ได้ประเมินแนวโน้มแล้ว เชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม สปท.ในวันที่ 1 พ.ค.นี้สื่อสะท้านไม่ขึ้นทะเบียนคุก 3 ปีผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน มีสาระสำคัญคือการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ทำหน้าที่กำหนดมาตรการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม มาตรฐานแห่งวิชาชีพ ตลอดจนการกำกับดูแลกันเองทางจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยมีคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จำนวน 15 คน ประกอบด้วย ผู้แทนสมาชิกสภาวิชาชีพ 7 คน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมการอื่นอีก 4 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 3 ปี แต่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียน ออกและเพิกถอนใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยผู้ประกอบการวิชาชีพสื่อมวลชนต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนภายใน 2 ปี และมีบทกำหนดโทษสื่อมวลชนที่ไม่ขึ้นทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่นเดียวกับองค์กรสื่อใดที่รับบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนสื่อ เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน จะมีระวางโทษในอัตราเดียวกันปธ.กมธ.อ้างสิงคโปร์พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธาน กมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สปท. กล่าวถึงกรณี สปท.เตรียมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐาน วิชาชีพสื่อมวลชนในวันที่ 1 พ.ค. ว่า เชื่อว่า สปท.จะให้ความเห็นชอบ อย่างไรก็ตาม กระบวนการจัดทำกฎหมายดังกล่าวยังมีหลายขั้นตอน ต้องผ่านรัฐบาล และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ยังสามารถปรับแก้ไขเนื้อหาได้ แต่ยืนยันว่าเนื้อหาร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เพราะระหว่างจัดทำมีนักกฎหมายคอยดูแลอยู่ แต่หากมีเนื้อหาใดขัดรัฐธรรมนูญ เช่น การออกกฎหมายละเมิด สิทธิเสรีภาพเกินความจำเป็น ก็ปรับแก้ประเด็นที่ขัดได้ ที่ผ่านมาการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ในชั้นอนุกรรมาธิการ มีกรรมาธิการที่มาจากสื่อมวลชนสนับสนุนให้มีการออกใบอนุญาตขึ้นทะเบียนสื่อ เพราะมองว่ามีเกียรติและศักดิ์ศรีมากกว่า และการมีใบอนุญาตจะทำให้เกิดการกำกับกันเองได้ดี เพราะที่ผ่านมาสื่อมวลชนยังกำกับกันเองได้ไม่ดี การขอ ใบอนุญาตตามกฎหมายนี้จึงเป็นการจัดระเบียบสื่อมวลชนเหมือนประเทศสิงคโปร์ ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมีความเจริญต่างจากประเทศไทยคุมหมดจดพุ่งเป้าสื่อออนไลน์พล.อ.อ.คณิตกล่าวว่า ส่วนการกำหนดนิยามให้ครอบคลุมถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เปิดเว็บเพจ เพจเฟซบุ๊กเพื่อนำเสนอข่าวสารนั้น เป็นการเขียนกฎหมายเพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล ไม่ล้าหลัง ที่ผ่านมาการออกกฎหมายถูกมองว่าล้าหลัง ตามไม่ทันเทคโนโลยี อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันต้องการพัฒนาประเทศให้เป็นยุค 4.0 ดังนั้น จึงต้องเขียนกฎหมายฉบับนี้ให้ครอบคลุมถึงสื่อออนไลน์ที่นำเสนอข้อมูลและมีผลกระทบจำนวนมากเช่นกัน โดยสื่อออนไลน์ที่เข้าข่ายกฎหมายนี้ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น กรณีมีเฟซบุ๊ก หากทำเป็นธุรกิจ มีผลกระทบต่อสาธารณะ ต้องถูกกำกับ“อลงกรณ์” ยันไม่มีเจตนาครอบงำด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท. กล่าวว่า ที่ผ่านมา วิป สปท.เสนอให้ กมธ.สื่อฯนำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกลับไปแก้ไข 2 ครั้ง ยืนยันว่าสปท.ไม่ต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือครอบงำสื่อ แต่ต้องการส่งเสริมให้สื่อประกอบอาชีพอย่างมีจรรยาบรรณ มีความรับผิดชอบต่อสังคม ได้รับสวัสดิการ ที่เหมาะสม ส่วนกรณีบัญญัติโทษในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวว่า หากสื่อไม่มีใบประกอบวิชาชีพจะถูกจำคุก 3 ปีนั้น ยังไม่ดูรายละเอียด แต่เป็นแค่ร่างต้นเท่านั้น ต้องส่งไปที่วิป สปท.ผ่านการพิจารณาของ สปท. และส่งไปยัง ครม. ยืนยันว่าอะไรที่ขัดต่อมาตรฐานสากลต่อการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน สปท.จะปล่อยผ่านไปไม่ได้ แต่สื่อมวลชนก็ต้องมองอย่างรอบด้านด้วยเช่นกัน“มีชัย” จี้สื่อหาเหตุผลมาโต้แย้งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวว่าผู้ที่ผลักดันกฎหมายต้องอธิบายเหตุผลให้ได้ทำไมต้องมีใบอนุญาต ตนไม่คิดว่าจะเป็นการครอบงำสื่อ ในประเทศไทยมีใบอนุญาตมากมาย เหตุผลของการมีใบอนุญาตก็เพื่อดูว่าการปฏิบัติหน้าที่จะถูกต้องตามหลักวิชาชีพหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ตรวจสอบโดยตลอด แค่มาตรวจตอนมาขอต่อใบอนุญาต ส่วนต้นสังกัดอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ไม่มีใครไปดูไปตรวจสอบในรัฐธรรมนูญจึงเขียนว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรมีใบอนุญาต เมื่อถามว่า คิดว่าอาชีพสื่อสารมวลชนควรมีใบอนุญาต หรือไม่ นายมีชัยตอบว่า ตอบไม่ได้ ยังไม่เห็นรายละเอียด แค่พูดตามหลักการ เพราะสื่อสารมวลชนมีสมาคม ควรรวมตัวกันเพื่อชี้แจงเหตุผลว่า ทำไมถึงไม่ควรมี ใบอนุญาต ส่วนเรื่ององค์ประกอบของกรรมการในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาตินั้น คิดว่าการให้มีสัดส่วนจากภาครัฐแค่ 2 คน คือปลัดกระทรวงวัฒน-ธรรม และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จากจำนวนกรรมการทั้งหมด 15 คนไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ตัวแทนของภาครัฐถือว่าเป็นเสียงข้างน้อยในสภาวิชาชีพ ถ้าหากสื่อจับมือรวมเสียงก็โหวตชนะอยู่แล้ว เมื่อขึ้นชื่อว่าสภาวิชาชีพต้องมีคนของรัฐเข้ามาเพื่อจะไม่ให้คนในวิชาชีพกีดกันกันเอง ไม่ออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบอาชีพรุ่นน้อง หากสื่อคิดว่าไม่ควรมีสภาวิชาชีพก็ต้องหาเหตุผลโต้แย้ง เสนอแนวทางของสื่อที่จะกำกับดูแลกันเอง โดยที่คนนอกไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว“วิษณุ” ชี้ยังต้องผ่านอีกหลายด่านที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่มีข้อกังวลว่า เมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้ จะทำให้การทำงานตรวจสอบของสื่อมวลชนไม่อิสระว่า เมื่อออกเป็นกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตาม แต่ยังมีอีกหลายขั้นตอน ที่ผ่านมา สปท.รับฟังความคิดเห็นมาแล้ว ต่อไปจะรับฟังเพิ่มหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับ สนช.ที่จะพิจารณาต่อ เมื่อถามว่า ที่สุดแล้วต้องผลักดันร่างดังกล่าวให้เป็นกฎหมายใช่หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่ทราบ การที่เรื่องดังกล่าวเป็น 1 ใน 27 วาระเร่งด่วนของ สปท. เมื่อเขาแจ้งมาเราก็รับ มาหมด ไม่ได้ไปเพิ่มเติมหรือตัดทอนอะไร แต่ถึงเวลาก็ต้องเอามาดู ที่ผ่านมาในส่วนวาระเร่งด่วนเราได้พิจารณาในกรอบกว้างๆ ว่าวาระของรัฐบาลและ สปท.มีอะไรบ้างนายกฯชี้ ก.ม.คุมสื่อจำแนกคนดี-ไม่ดีที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาจัดทำร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่มีกระแสคัดค้านจากสมาคมวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนว่า สปท.ยังไม่ได้หารือมา ยังเป็นเพียงเสนอแนวคิดต่างๆขึ้นมา ตน เพียงบอกว่าให้ไปศึกษาดูว่าต่างประเทศทำอย่างไรกัน ยืนยันว่าไม่ได้โทษพวกเรา แต่เป็นเรื่องของคนไม่ดีมาทำให้หลายอย่างเกิดปัญหาในการบริหารจัดการในการทำงาน ทุกประเทศมีเหมือนกันโดย เฉพาะปัญหาจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ขอให้เข้าใจว่าไม่ได้ต้องการไปปิดกั้นใครทั้งสิ้น พวกเราเองก็ต้องช่วยกันหาทางออกว่าจะทำอย่างไรให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ให้ทุกสื่อเป็นสื่อของประชาชนอย่างแท้จริง และต้องแยกให้ออกว่าประชาชนนั้นมีทั้งคนดีและไม่ดี ต้องดูว่าเราจะกลายเป็นเครื่องมือของคนไม่ดีหรือเปล่า รัฐบาลมีความจำเป็น เพราะหลายอย่างเป็นเรื่องกฎหมาย และรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้ยกเคสสื่อโซเชียลล้ำเส้นละเมิดสิทธิพล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สิ่งที่อยากชี้แจงวันนี้ คือรัฐธรรมนูญเป็นกรอบกฎหมายกว้าง เป็นกฎหมายของรัฐ สิ่งสำคัญที่หลายคนอาจลืมไปคือเรายังมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกมากมายหลายฉบับ เราต้องให้ความสำคัญกับกฎหมายลูกที่จะออกมา โดยสร้างการรับรู้ให้ทราบในบทบัญญัติต่างๆ ถ้าไม่จำเป็นเขาก็คงไม่ตั้งเรื่องขึ้นมา เพียงแต่วันนี้เราต้องมาหาทางออกร่วมกันว่าจะทำอย่างไร ถ้าค้าน ทุกเรื่องมันก็ไปไม่ได้ ถ้าวันข้างหน้าเกิดความวุ่นวายจะทำอย่างไร ต้องฝากไว้ด้วย ยืนยันว่าสิ่งที่ทำเพื่อ พวกเราทุกคน สื่อก็ถือว่าเป็นคนไทย คนทั้งหมดก็บริโภคสื่อและโซเชียลมีเดีย จะเห็นได้ว่าวันนี้หลายอย่างไม่ค่อยถูกต้องโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ต่างคนก็ต่างเขียนโดยไม่รับผิดชอบทำให้ประเทศชาติมีปัญหา หลายๆประเทศที่คุยกันก็ประสบปัญหาเหล่านี้ และมีความเห็นตรงกันว่าจะต้องดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะอนาคตสิ่งเหล่านี้จะมีเพิ่มมากขึ้น และกว้างขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้าสิทธิเสรีภาพที่เรามีไปละเมิดคนอื่นก็ต้องกลับมาดูว่าจะต้องทำอย่างไร วันนี้ก็มีการตั้งคณะกรรมการดูแลสื่อขึ้นมาไม่ใช่หรือชี้คุมกันเองไม่ได้-คนรับผิดชอบไม่มีเมื่อถามย้ำว่า เห็นด้วยกับร่างที่ สปท.เสนอ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ผมยังไม่เห็นด้วย ถ้าจะเห็นด้วยก็ต้องฟังประชาชนก่อนว่าเขาว่ากันอย่างไร สื่อว่าอย่างไร แต่สิ่งที่ผมเห็นเป็นปัญหาคือ เราเคยมอบความรับผิดชอบให้สมาคมสื่อฯไปแล้ว แต่พวกท่านก็ยอมรับเองว่าท่านก็ทำไม่ได้ทั้งหมด พวกท่านก็ต้องรับตรงนี้ ถ้าทำได้กันทั้งหมดก็คงไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นอยู่แบบเดิมก็ได้ แต่วันนี้มันไม่ได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาก็หาคนรับผิดชอบไม่ได้ จึงจำเป็น ต้องมีการพูดคุยกันในเรื่องเหล่านี้ ทุกคนต้องยอมรับ ผมยอมรับท่าน ท่านก็ต้องยอมรับผมเหมือนกัน ในเมื่อ มันมีปัญหาอยู่ก็ต้องทำให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกัน และกัน องค์กรประกอบด้วยใครบ้างก็ต้องยอมรับกัน ไม่ใช่จะมัวมาเกรงรัฐบาลมาปิดกั้นสื่อ มันไม่ใช่ จะไปปิดกั้นทำไม ถ้าไม่มีสื่อแล้วผมจะทำงานได้หรือไม่ เพราะสื่อจะเป็นผู้ขยายความเข้าใจให้กับผม อะไรไม่ดีสื่อก็เตือนมา ผมก็พร้อมตรวจสอบ”“อภิสิทธิ์”ข้องใจตรรกะมีส่วนร่วมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีค่าสมาชิกพรรค ในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช.ว่า หากคิดในเชิงอุดมคติ ถ้าเกิดสมาชิกพรรคจ่ายค่าบำรุงพรรค มันมีความเป็นสากล มีความเป็นเจ้าของ แต่ว่าขอให้เขียนให้มันปฏิบัติได้ สอดคล้องกับความเป็นจริง ถ้าไปรีบ ไปบังคับบนความไม่เข้าใจ ไม่ไปทำให้ทัศนคติของสังคมโดยรวมเปลี่ยนแปลงไป มันจะมีอะไรที่ขัดๆกันอยู่ แต่ถ้าพิจารณาว่าท่ามกลางภาวะของสังคมปัจจุบัน จากประเทศไทยซึ่งมีสมาชิกพรรคการเมืองอยู่อาจจะประมาณ 3-4 ล้านคน แล้วใช้มาตรการนี้ไปแล้ว ทำให้มีคนที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองทั่วประเทศ ตนคิดว่าอาจจะไม่ถึง 2-3 แสนคน และถ้าใครมาบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกไม่มีส่วนร่วม คงไม่ใช่ เพราะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนมีสิทธิ์ขอเข้าร่วมประชุมใหญ่ มีสิทธิได้รับการคัดเลือกมาร่วมประชุมใหญ่ มีสิทธิเลือกกรรมการ และประธานสาขาพรรค ซึ่งตัวประธานสาขาพรรคมีสิทธิมาเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคด้วย แต่ตามกฎหมายนี้ยังไม่มีสิทธิจะให้เลือกสาขาพรรคเลย ถามว่าอะไรเป็นการมีส่วนร่วม และเป็นเจ้าของมากกว่ากัน และเห็นว่าโครงสร้างพรรคประชาธิปัตย์ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ในกฎหมายนี้อยู่แล้วแก้ปัญหานายทุนครอบงำผิดจุด“ฉะนั้นการเป็นเจ้าของ การมีส่วนร่วม อย่าไปคิดแค่เรื่องของการจ่ายค่าบำรุง การเอาเรื่องเงินมาเป็นตัวตั้งก่อน คงไม่ใช่โจทย์ที่ถูกต้อง แต่จะเขียนไว้อย่างไรพวกเราก็พร้อมปฏิบัติ มันไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว แต่ว่าอย่ามองว่าคนที่เขาออกมาไม่เห็นด้วย จะแปลว่าเขาจะไม่อยากจะปฏิรูป หรือว่าไม่อยากจะให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะว่าโดยความเป็นจริง การครอบงำพรรคการเมือง โดยคนกลุ่มน้อย หรือโดยบุคคล หรือโดยครอบครัวนั้น มันคงไม่สามารถแก้ได้ด้วยการเก็บค่าบำรุงสมาชิก มันต้องแก้ว่าปัญหาของเงินที่มาครอบงำการเมืองในขณะนี้ บอกตรงๆว่ามันไม่ใช่เงินที่อยู่บนโต๊ะ มันไม่ใช่เงินที่จ่ายกันตามกฎหมาย แต่มันเป็นเงินซึ่งจ่ายกันโดยไม่มีกฎหมายรองรับและน่าจะผิดด้วย ทำไมไม่ไปหาทางในการที่จะจัดการตรงนั้นให้ได้” นายอภิสิทธิ์กล่าวรัฐบาลใหม่ยกเลิกซื้อเรือดำน้ำได้ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีนเบื้องต้น 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาทนั้น วันเดียวกัน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวว่า รายละเอียดต้องให้กองทัพเรือเป็นผู้ชี้แจง ทั้งการจัดซื้อและการใช้งบประมาณแต่ละครั้ง เบื้องต้น ครม.มีการอนุมัติจัดซื้อ 1 ลำ มูลค่า 13,500 ล้านบาท ไม่ทราบว่าลำต่อไปจะอยู่ที่ราคานี้หรือไม่ เรื่องนี้เข้าที่ประชุมหลายครั้ง ครั้งแรกเป็นการเสนอกรอบการจัดซื้อ 3 ลำ ดังนั้น กรอบแผนงานจึงมีอยู่ 3 ลำ ส่วนครั้งล่าสุดเป็นการอนุมัติงบประมาณ 1 ลำ คิดว่าหากมีการซื้อลำต่อไปจะต้องให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้สำนักงบประมาณได้พิจารณาถึงความจำเป็นของแต่ละครั้ง ส่วนรายละเอียด เช่น ซื้อ 2 แถม 1 ตอบไม่ถูก ต้องให้กระทรวงกลาโหมหรือไม่ก็กองทัพเรือเป็นผู้ชี้แจง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลใหม่เห็นว่าไม่จำเป็น ก็สามารถยกเลิกมติได้ อำนาจของรัฐบาลใหม่สามารถทำได้“ปู” จี้ สตง.-ป.ป.ช.สอบเข้มเรือดำน้ำน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กว่า กรณี ครม.มีมติซื้อเรือดำน้ำ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เคยกล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวว่าทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก น่าจะเทียบได้กับการจัดซื้อรถถังและเรือดำน้ำ ตอนนี้ประเทศมีปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องแก้ไขหลายอย่าง แต่รัฐบาลกลับใช้งบฯไปซื้อรถถังและเรือดำน้ำ ทั้งที่อ่าวไทยตื้นเขินและประเทศอยู่ในสภาวะปกติไม่มีภัยคุกคาม ไม่รู้ว่าหัวหน้าฝ่ายบริหารเลือกที่จะให้น้ำหนักความมั่นคงหรือปากท้องของประชาชนกันแน่ ตนหวังว่าทั้ง สตง.และ ป.ป.ช.จะไม่ละเลยหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ ตรวจสอบให้เข้มข้นเหมือนกับที่เคยทำกับรัฐบาลในอดีตโดยไม่เลือกปฏิบัติและเท่าเทียมกัน ไม่ควรอ้างเรื่องชั้นความลับของทางราชการ เพราะที่ผ่านมามีข้อคิดเห็นหรือข้อทักท้วงมาโดยตลอด“มาร์ค” ชี้ทำงุบงิบคนไม่สบายใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เราทราบมาตลอดว่ารัฐบาลนี้มีแนวคิดจัดซื้อเรือดำน้ำ เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องมาอธิบายว่าความจำเป็นคืออะไร แล้วก็ต้องยืนยันให้สามารถตรวจสอบได้ว่าทุกอย่างโปร่งใส เมื่ออนุมัติไปแล้ว แต่ไม่ได้มาแถลงมติ จนกระทั่งมีคนไปรู้ ทำให้ไม่ค่อยงดงามเท่าไหร่ เพราะว่าคนที่ไม่เห็นด้วยก็มี คนที่หวาดระแวงว่ามันจะมีอะไรหรือไม่ก็มี จึงจำเป็นต้องชี้แจงเพราะงบประมาณก็ต้องไปตั้งงบขอแล้วต้องผูกพันไปอีกหลายปี ฉะนั้นอยากให้รัฐบาลใช้แนวคิดนี้มากกว่า ว่าเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ต้องสามารถอธิบายกับประชาชนได้ว่าความจำเป็นมันคืออะไร ภาระงบประมาณจะบริหารจัดการให้ประชาชนสบายใจได้อย่างไร เพราะภาวะเศรษฐกิจขณะนี้คนจำนวนมากเดือดร้อนอยู่ อย่าให้คนเขาสงสัยว่า ทำไมต้องปิดบังอะไรกันหรือ“บิ๊กตู่” งัดปมจำนำข้าวซัดทำชาติเจ๊งวันเดียวกัน เวลา 12.30 น. ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. พร้อมคณะเดินทางตรวจเยี่ยมและประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง จากนั้นนายกฯ และคณะได้ร่วมรับประทานอาหารจากนวัตกรรมไทย เช่น ข้าวหอมชลสิทธิ์และกุ้งกุลาดำ โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวหลังประชุมว่า เน้นปรับรูปแบบการทำงานให้รวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องการเชื่อมโยงกับประชาชนและการใช้จ่ายงบประมาณ ส่วนแผนการทำงานระยะยาวต้องชัด ใช้งบฯ อย่างคุ้มค่า รัฐบาลนี้ใช้จ่ายงบประมาณหลายแสนล้านดูแลเกษตรกร ปัญหาเดิมคือ การใช้จ่ายในรัฐบาลที่ผ่านมาที่มีปัญหาเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เราสูญเสียงบฯจำนวนมาก ต้องมาผ่อนชำระชดใช้หนี้ ทำให้ หลายอย่างติดขัด จึงอยากให้สังคมเข้าใจ วันนี้การเดินหน้าทางการเมืองเป็นไปตามโรดแม็ป รัฐบาลนี้จะครบ 3 ปีในเดือนหน้า ทราบดีว่าปัญหาทุกอย่างยังแก้ไขไม่หมด แต่พยายามจะแก้ให้ได้มากที่สุดเพื่ออนาคตวันหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ส่วนอันไหนไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเดือดร้อนก็พร้อมที่จะแก้ไขทูตมะกันดอดพบขอถกปมร้อนเมื่อเวลา 14.30 น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายกลิน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. โดยไม่มีกำหนดการล่วงหน้ามาก่อน ใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง โดยการเข้าพบดังกล่าว เอกอัครราชทูตสหรัฐฯต้องการหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนจะเดินทางเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างวันที่ 28-30 เม.ย. ที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เนื่องจากทางสหรัฐฯ ต้องการให้กลุ่มอาเซียนยกประเด็นของเกาหลีเหนือขึ้นมาพูดคุย ภายใต้มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2321 (ค.ศ. 2016) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมติดันแก้ระบบอุปถัมภ์ราชการไทยเมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม เพื่อรับทราบผลการดำเนินการของ ครม.ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย เรื่องการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยให้เป็นรูปธรรม โดย พล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เชิดบุญเมือง สนช. เสนอความเห็นเพิ่มเติมเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ต้องมีแนวทางและวิธีดำเนินงานกับส่วนราชการทุกประเภทและควรมีศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อเก็บข้อมูลการบริหารงานบุคคลเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการแต่งตั้งโยกย้าย ป้องกันผู้บังคับบัญชาที่ไม่ดี เลือกปฏิบัติ พิจารณาเฉพาะคนใกล้ตัว โดย ก.พ.ควรเร่งเสนอรัฐบาลให้ตั้งศูนย์ข้อมูลนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว