พท.ฉะฉกเงินทีเผลอ คนไม่มีจะกินยังทำเท่ ปชป.ชี้ประชาชนค้าน
“บิ๊กป้อม” ออกโรงแจงซื้อเรือดำน้ำจีนราคา ถูกมาก แถมขีปนาวุธให้ด้วย บอกสื่อไม่ต้องมารู้รายละเอียด อ้างเอกสารลับเขาไม่เปิดเผยกัน พลิ้วจำไม่ได้ ครม.อนุมัติวันไหน “วิษณุ” ย้ำเอกสารลับมุมแดงไม่ต้องแถลง “ไก่อู” โบ้ยก็สื่อไม่มาถามเอง ไม่ได้หมกเม็ดปิดบังซ่อนเร้น พท.-ปชป.รุมถล่ม “วัฒนา” ซัดแหลกรัฐปล้นทีเผลอ ไม่คายอำนาจดันฉกเงินไปอีก “อนุสรณ์” ตอกคนไม่มีจะกินยังทำเท่ซื้ออาวุธ “วัชระ” หวดยุค ศก.ตกสะเก็ดไม่ควร ทำหน่วยตรวจสอบลำบากใจ อดีตเลขา สมช.แคลงใจซื้อในยุคข้าวยากหมากแพง สนช.เร่งเครื่องคลอดกฎหมายลูก 2 ฉบับแรกจบกลาง มิ.ย. “ตวง-เจตน์” ระเบิดศึกเกาเหลาชิงเก้าอี้ ปธ. สมาคมสื่อฯปลุกพลังคว่ำ ก.ม.ตีตรวน “ประวิตร” นั่งหัวโต๊ะนำถก ครม. ไม่หวั่นตกเป็นเป้าเขี่ยพ้นเก้าอี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักหลังที่ประชุม ครม. อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนเบื้องต้น 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท โดยไม่ยอมแถลงให้ประชาชนรับทราบ ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ออกมาชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นด้านยุทธศาสตร์ชาติ และความคุ้มค่าในการจัดซื้อ
“บิ๊กป้อม” แจงเรือดำน้ำจีนถูกมาก
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์วงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณี ครม.อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำชั้นหยวน เอส 26 ที (Yuan Class S26T) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท ว่า เราจะซื้อทีละลำ กว่าจะได้ลำแรกต้องใช้เวลา 5-6 ปี ไม่ใช่ซื้อวันนี้ได้พรุ่งนี้ โครงการนี้ใช้เวลา 11 ปีจึงจะได้ทั้งหมด 3 ลำ ยืนยันทุกอย่างทำตามขั้นตอน ต้องทำให้โปร่งใส เป็นการซื้อแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) สาเหตุที่เลือกซื้อจากจีนเพราะราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับอีก 9 ประเทศ ถ้าซื้อจากประเทศอื่นลำเดียวเท่ากับซื้อของจีนได้ถึง 2 ลำ นอกจากราคาแพงแล้วยังไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ติดมาด้วย เรามีคณะกรรมการพิจารณารอบคอบ จะเป็นประโยชน์มากในฝั่งทะเลอันดามัน ที่เราจะใช้ในระยะ 200 ไมล์ทะเลที่เราไม่เคยเข้าไป
...
บอกสื่อไม่ต้องรู้รายละเอียด
พล.อ.ประวิตรกล่าวอีกว่า เรือดำน้ำดังกล่าวสามารถดำน้ำได้นานสูงสุด 21 วัน ส่วนงบประมาณกองทัพเรือดำเนินการร่วมกับสำนักงบประมาณ เพราะเป็นงบของกองทัพเรือ ไม่ใช่งบกลาง เป็นแผนพัฒนากองทัพเรือต่อเนื่อง เมื่อถามว่าสรุปแล้วใช้งบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้เท่าไร พล.อ.ประวิตรตอบว่า ทั้งหมด 36,000 ล้านบาท รวม 3 ลำ ส่วนรายละเอียดจะแบ่งจ่ายอย่างไรสื่อไม่จำเป็นต้องรู้ เอาเป็นว่าใช้เวลาทั้งหมด 11 ปี เป็นการทยอยจ่าย เมื่อถามว่าประเทศจีนมีเงื่อนไขซื้อสินค้าอะไรจากไทยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่มี ไม่ใช่ลักษณะบาร์เตอร์เทรด ไม่มีเงื่อนไขพิเศษ มีอย่างเดียวคือประเทศจีนมอบอาวุธยุทโธปกรณ์และขีปนาวุธยิงจากใต้น้ำสู่อากาศฟรี เป็นออปชั่นที่ติดมากับเรือ ความจริงเป็นเรื่องลับ กองทัพเรือจะชี้แจงอีกครั้ง ตนสั่งวันนี้พรุ่งนี้ก็ชี้แจงได้
พลิ้วจำไม่ได้ ครม.อนุมัติวันไหน
เมื่อถามย้ำว่าหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่แถลงมติ ครม.อย่างเป็นทางการ พล.อ.ประวิตรตอบว่า เพราะเป็นเอกสารลับเขาไม่เปิดเผยกัน ทุกเรื่องที่เป็นเอกสารลับ ไม่ว่าจะ ครม.ไหนเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเอกสารด้านยุทธศาสตร์ยุทธวิธี เป็นเอกสารลับ เมื่อถามว่าสรุป ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า “ผมจำไม่ได้ ผ่านไปนานแล้ว เอาเป็นว่าผมอยู่ในที่ประชุมแล้วกัน สื่อจะรู้ไปทำไม จะเกิดประโยชน์อะไรกับประเทศบ้าง ในเมื่ออนุมัติแล้ว ก็ให้รู้ว่าอนุมัติแล้วก็จบ ไม่ต้องไปลงว่าอนุมัติวันที่เท่าไร เป็นเอกสารลับก็ต้องลับอย่างนี้ ยืนยันไม่ใช่การอนุมัติเงียบ ครม. ทั้งคณะรู้หมด ที่ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่ชี้แจงให้ประชาชนทราบ ถึงเวลาก็ทราบ อย่างเรื่องรถถังอนุมัติมา 1-2 เดือนแล้ว ก็เพิ่งทราบแล้วมาเขียน โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำใช้เวลาศึกษามา 9 ปีกว่าจะสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน กว่าจะอนุมัติ ไม่ใช่คิดเพียงวันสองวัน เป็นยุทธศาสตร์เก่าที่กองทัพเรือต้องการมานานแล้ว ตั้งกองเรือดำน้ำมานานแล้วเพียงแต่ยังไม่มีเรือ มีแต่คน”
ตัดบทเลิกพูดถึงเรือดำน้ำซะที
เมื่อถามว่าพูดได้หรือไม่ว่า พล.อ.ประวิตรเป็นผู้ให้กำเนิดเรือดำน้ำ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่ใช่ ตนไม่ใช่ผู้เริ่ม ถ้าบอกว่าตนเป็นผู้สนับสนุนก็ต้องบอกว่านายกฯเป็นผู้สนับสนุนเหมือนกัน ครม.ทุกคนก็สนับสนุน ยืนยันว่าเรือดำน้ำมีความจำเป็น ประเทศอาเซียนทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มีหมดแล้ว เวียดนามมีถึง 12 ลำ และเรือที่จัดซื้อครั้งนี้ไม่ได้แพงกว่าเรือฟริเกต เมื่อถามว่ามีหลักประกันอะไรว่าอนาคตเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลจะอนุมัติให้ซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราทำแผนไว้เช่นนี้ถ้าไม่อนุมัติก็ไม่อนุมัติถ้ามองไม่เห็นถึงความจำเป็น แต่กองทัพเรือเขาต้องเสนอแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาก็ต้องเอางบไปทำและสร้างอย่างอื่น ไม่เห็นจะเป็นอะไร จากนี้ไปเลิกพูดถึงเรื่องเรือดำน้ำเสียที ไปดำอย่างอื่นแทน
“วิษณุ” ย้ำเอกสารลับไม่ต้องแถลง
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงระดับชั้นความลับของเอกสารเรื่องที่เข้า ครม.ว่า การกำหนดชั้นความลับวาระที่เข้าสู่ที่ประชุม ครม. มีมานาน 40-50 ปีแล้ว ดังนั้น หากเอกสารใดเป็นเรื่องลับหรือมุมแดง เป็นเรื่องที่หารือเสร็จแล้ว หน่วยงานต้นสังกัดก็จัดเก็บคืนไป และไม่มีการแถลงข่าว ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต้นเรื่อง เรื่องเรือดำน้ำเป็นเรื่องที่กระทรวงกลาโหมขอมาว่าเป็นมุมแดง แต่ถึงอย่างไรในที่สุดต้องมีการยกเลิกมุมแดงและเปิดเผยให้ทราบ เช่น คราวที่แล้วกฎหมายในพระองค์ที่เข้าสภาฯไปก็เป็นเรื่องลับหรือมุมแดง แต่พอถึงจุดหนึ่งก็เปิดเผย ซึ่งที่ประชุม ครม.วันนี้จะมีการยกเลิกชั้นความลับหลายเรื่อง
“ไก่อู” โบ้ยก็สื่อไม่มาถามเอง
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. ว่า กรณีไม่แถลงมติที่ประชุม ครม.อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน เมื่อวันที่ 18 เม.ย.นั้น การประชุม ครม.แต่ละครั้งมีเรื่องต้องพิจารณา 40-70 เรื่องให้แถลงทุกเรื่องคงไม่ได้ จึงหยิบเรื่องที่น่าสนใจมาแถลงเท่านั้น และบังเอิญวันนั้นไม่มีสื่อสอบถามเรื่องนี้ รวมถึงมีการกำหนดให้เรื่องเรือดำน้ำเป็นชั้นความลับหรือมุมแดง เมื่อแจกให้พิจารณาในที่ประชุม ครม.แล้ว ต้องเก็บเอกสารคืน จึงไม่ได้นำเรื่องมาแถลง ไม่ใช่เรื่องปกปิด ปิดบัง ซ่อนเร้น หมกเม็ด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลับตลอดไป ผ่านช่วงหนึ่งก็ไม่ลับแล้ว เรื่องเหล่านี้ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน เช่นเดียวกับเรื่องขึ้นภาษี แถลงก่อนประกาศมีผลบังคับใช้ไม่ได้ จะทำให้เกิดการกักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไร
อย่าห่วงใช้เงินภาษีประชาชน
พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า การอนุมัติจัดซื้อครั้งนี้เป็นแบบจีทูจี ยืนยันว่าการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่ต้องกลัวว่ารัฐบาลจะปิดบังซ่อนเร้น เพราะเป็นเงินภาษีประชาชน และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของกองทัพเรือ พิจารณาจากภัยคุกคามทั้งในอนาคตในรูปแบบใหม่ และเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางทะเล ที่วางแผนมาเป็นลำดับ ส่วนในรายละเอียดให้สอบถามทางกองทัพเรือ
พ.ร.บ.ข่าวสารฯไม่ได้เปิดหมด
นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า ปกติงานความมั่นคงจะไม่แถลงข่าวอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องซื้ออาวุธ รวมถึงเรื่องลับอื่นๆด้วย บางเรื่องไม่เกี่ยวกับประชาชน ยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะแถลงหรือไม่ บางครั้งแม้แต่ส่วนราชการก็ไม่มีการแจ้ง จะแจ้งแค่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เมื่อถามว่าการไม่แถลงข่าวถือว่าขัดต่อ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการหรือไม่ นายธีระพงษ์ตอบว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ไม่มีหน้าที่แถลงข่าว ยกเว้นเป็นเรื่องของหน่วยงานตัวเอง แต่ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ มีข้อยกเว้นเรื่องใดบ้างที่ให้ข้อมูลได้ หรือไม่ได้ มีทั้งชั้นความลับ ความมั่นคง ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ใช่ว่ากฎหมายให้เปิดเผยทุกเรื่อง
“วัฒนา” ไล่ถล่มรัฐปล้นทีเผลอ
ด้านนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ปล้น” การจัดซื้อเรือดำน้ำต้องทำเป็นความลับเพราะกลัวประชาชนรู้ รัฐบาลรู้ดีว่าประชาชนคัดค้าน จึงต้องใช้เล่ห์เพทุบายแอบดำเนินการตอนประชาชนกำลังเผลอในช่วงสงกรานต์ พอเปิดงานวันแรกคือวันที่ 18 เม.ย. ขณะที่ประชาชนกำลังงัวเงียสับสนกับคำสั่งห้ามนั่งในแค็บและกระบะท้าย จึงรีบฉวยโอกาสแอบนำเรื่องนี้เข้าอนุมัติใน ครม. ตนเห็นว่า ประเทศกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจ ควรใช้เงินเพื่อปากท้องประชาชนมากกว่านำไปซื้ออาวุธ ที่อ้างว่ามีภัยคุกคามจากเพื่อนบ้าน ไม่เป็นความจริง เพราะไทยอยู่ท่ามกลางมิตรประเทศ และกำลังจะรวมเป็นประชาคมอาเซียน และรัฐบาลนี้มาจากรัฐประหารไม่มีความชอบธรรมที่จะใช้งบประมาณมหาศาล รวมถึงอยู่ในโรดแม็ปช่วงสุดท้าย เหมือนเป็นรัฐบาลรักษาการ จึงไม่ควรดำเนินโครงการที่ผูกพันไปถึงรัฐบาลหน้า
ไม่คายอำนาจดันฉกเงินไปอีก
นายวัฒนาระบุอีกว่า แต่สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำกลับสวนทางและทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น เริ่มจากซื้อรถถัง ตามด้วยอนุมัติสองขั้นให้พรรคพวก จากนั้นแอบซื้อเรือดำน้ำ ผู้ที่ต้องรับเคราะห์คือประชาชนที่ถูกคนพวกนี้ยึดอำนาจไป ยังไม่ทันได้คืน ก็ถูกคนพวกนี้ตามมาฉกเงินไปซื้ออาวุธอีก เหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาคงใช้ได้กับสัปบุรุษ แต่ไม่อาจใช้ได้กับบุคคลจำพวกที่สัปบุรุษต้องพ่ายแพ้ คนพวกนี้กระทั่งอำนาจของประชาชนยังกล้ายึดมาเป็นของตัว การแอบอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำจึงถือเป็นเรื่องเล็ก ส่วนคนประเภทไหนที่สัปบุรุษต้องพ่ายแพ้ ใครรู้ช่วยบอกด้วย
คนไม่มีจะกินยังทำเท่ซื้ออาวุธ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า งบ 13,500 ล้านบาท ถ้านำมาออกมาตรการจ้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจ จะได้ประโยชน์กว่าหรือไม่ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็ไม่เคยสู้รบทางทะเลกับใคร ตามที่โฆษกรัฐบาลระบุ กฎหมายพรรคการเมืองที่จะออกมา กำหนดว่านโยบายของพรรคการเมือง ต้องระบุวงเงินที่จะใช้ มีแหล่งที่มา ความคุ้มค่าและผลกระทบต่อนโยบาย การที่รัฐบาล คสช.ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปีไปถึงรัฐบาลหน้า มัดมือชกรัฐบาลหลังเลือกตั้งต้องนำเงินไปผ่อนเรือดำน้ำให้ อยากถามว่าความเหมาะสมเป็นธรรมหรือไม่ ทั้งนี้ธนาคารเครดิตสวิสระบุว่าไทยมีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับสามของโลก และไทยต้องลงทุนด้านการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ถามว่าการซื้อเรือดำน้ำช่วยลดความเหลื่อมล้ำหรือไม่ ประชาชนตั้งคำถามมากมาย เงินจะกินยังไม่มี แต่แอบไปซื้อปืนมาพกเท่ๆ แบบนี้จะไหวหรือ
ปชป.ก็ค้านยุควิกฤติ ศก.ไม่ควร
ขณะที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนให้ช่วยคัดค้านการซื้อเรือดำน้ำในภาวะที่ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัสจากของแพง เศรษฐกิจย่ำแย่ ผู้คนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า จึงส่งหนังสือคัดค้านไปยังรัฐบาลแล้ว เพราะประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วย และประสิทธิภาพอาจส่อเหมือนเรือเหาะของกองทัพบก อนาคตใครจะรับผิดชอบ ต้องใช้ค่าบำรุงรักษาอีกจำนวนมาก งบซื้อเรือดำน้ำจะบานปลายไปเบียดบังงบการพัฒนาด้านอื่นของกองทัพเรือในอนาคต ที่สำคัญในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยมีพระราชดำรัสเรื่องเรือดำน้ำชัดเจน ถ้าใครได้ฟังแล้วทุกคนจะรู้จักพอเพียงทันที
ทำหน่วยตรวจสอบลำบากใจ
นายวัชระกล่าวอีกว่า ไม่ได้ขัดขวางการซื้อ อาวุธของกองทัพเรือ แต่ต้องขออภัยที่ต้องบอก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. แบบตรงไปตรงมาว่า ประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วย หรือจะทำประชามติเรื่องนี้ก่อนทำสัญญาก็ได้ ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย ควรระงับแล้วโอนเงิน 13,500 ล้านบาทกลับมาสร้างโรงพยาบาล หรือพัฒนาประเทศไทยด้านอื่นดีกว่าให้เรียบร้อยโรงเรียนจีนอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ และตอนนี้ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว หากการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพได้รับการยกเว้น แล้วสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะไปตรวจสอบได้หรือ
แคลงใจซื้อยุคข้าวยากหมากแพง
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า การประเมินสถานการณ์ความมั่นคงต้องประเมินทุก 5 ปี สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ไทยเผชิญหรือไม่ ที่จะใช้ยุทโธปกรณ์ใหญ่ขนาดนี้ ใช้ในลักษณะสถานการณ์การเผชิญหน้าของเกาหลีเหนือ ซึ่งลักษณะภูมิศาสตร์ของไทยไม่ได้เกี่ยวข้อง ขณะที่อีก 5 ปีข้างหน้า ไทยจะเผชิญภัยคุกคามจากการก่อการร้ายมากกว่า คุณลักษณะเหล่านี้จึงมีข้อจำกัด และทำสังคมคลางแคลงใจว่าสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจบ้านเราหรือไม่ ในยุคข้าวยากหมากแพงมีความจำเป็นหรือยัง ซึ่งไม่ปฏิเสธรัฐบาลเก่าๆประสงค์ซื้อเรือดำน้ำเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขตัวเลขที่ตอนนั้น กองทัพเรือประสงค์ซื้อจากเยอรมัน เก่าหน่อยได้ไม่เป็นไร มูลค่าแค่ 6-7 พันล้านบาท แต่ตอนนี้สูงถึง 13,500 ล้านบาท ต้องมาจัดสรรงบเป็นงวดๆ ต้องมาผูกพันงบต่อไปเรื่อยๆ มีค่าบำรุงรักษา และเรื่องกำลังพลอีก
โพลชี้คนอีสานไม่เอาเรือดำน้ำ
นายสุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการสำรวจอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดผลสำรวจความเป็น ประชาชนจำนวน 1,155 ราย ถึงประเด็นกรณีประเทศไทยควรจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนหรือไม่ พบว่าร้อยละ 48.8 คนอีสานไม่เห็นด้วย มีเพียงร้อยละ 20.7 ที่เห็นด้วย ส่วนเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 ในมุมมองคนอีสานเกี่ยวกับสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับเกาหลี เหนือพบว่าคนอีสานร้อยละ 77.4 เชื่อว่าจะเกิดสงครามขึ้น และร้อยละ 56.8 มีความกังวลว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น
ยัน กก.ยุทธศาสตร์หลากหลาย
วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ว่า ไม่มีการเตรียมการ คณะกรรมการชุดที่รัฐบาลตั้งยังดำเนินการต่อ ส่วนที่มีข้อท้วงติงว่ามีคนในกองทัพอยู่ในกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ หรือซุปเปอร์บอร์ด จำนวนมากนั้น ชี้แจงไปแล้ว กรรมการมีทั้งหมด 32 คน ในส่วนของกองทัพจะดูแลเรื่องความมั่นคง แต่ละคนมีกำลังของตัวเอง ทั้งบก เรือ อากาศ จากนั้นจะตั้งกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ขึ้นมาอีกชุด ประมาณ 15 คน มีความหลากหลายทั้งอายุ อาชีพ เพศ วัย มีหน้าที่เขียนแผน ซึ่งเปรียบเหมือนการเขียนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เสร็จแล้วจึงเสนอกลับเข้ามาที่ซุปเปอร์บอร์ด และเสนอ ครม.ก่อนจะเสนอสภาฯ และเสนอวุฒิสภา ก่อนนำความขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯถวาย และโปรดเกล้าฯ มีหลายขั้นตอน จึงไม่ใช่กระบวนการที่จะมาชี้เป็นชี้ตาย “พูดให้เห็นภาพ คือ โครงสร้างจะมีซุปเปอร์บอร์ดใหญ่อยู่ 32 คน มีฝ่ายความมั่นคงอยู่ในนั้น 5-6 ตำแหน่ง ส่วนที่เหลือเป็น ประธานอุตสาหกรรม ประธานหอการค้า สมาคมธนาคารไทย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประธานสภาเกษตรกร”
“พรเพชร” ฟุ้งเร่งให้เสร็จเร็วขึ้น
ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่า เชื่อว่าจะพิจารณาเสร็จก่อนครบกำหนดเพื่อส่งให้สนช.ต่อไป โดย กมธ.ทั้ง 2 คณะ และ สนช. จะจัดสัมมนานอกสถานที่วันที่ 20-21 พ.ค. สำหรับการรับฟังความเห็นฝ่ายต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) รับฟังมาแล้ว ขณะที่ สนช.จะประกาศรับฟังความเห็นในเว็บไซต์ สนช.ด้วย มีประชาชนส่งความคิดเห็นมาแล้ว เช่น เรื่องค่าสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง 100 บาท ส่วน สนช.จะปรับแก้หรือไม่ ต้องรอผลการพิจารณาของ สนช.อีกที
แขวนปมค่าสมาชิกพรรคไว้ก่อน
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ โฆษก กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง สนช. แถลงผลการประชุมว่า ล่าสุด พิจารณาเสร็จแล้ว 15 มาตรา มีแขวนรอไว้ 3 มาตรา ประกอบด้วย การให้ตัวแทนจากกฤษฎีกาไปยกร่างคำนิยามความหมายของพรรคการเมือง เพราะร่างเดิม ไม่ได้กำหนดไว้ เรื่องเงินทุนประเดิมจัดตั้งพรรคที่ร่างเดิมให้มีอย่างน้อย 1 ล้านบาท ประเด็นนี้ให้รอการพิจารณาไว้ก่อน และให้กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการบริหารพรรคการเมือง โดยยึดโยงกับมาตรฐานจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ส.ส. และ ส.ว. รวมถึง ครม. ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด กรรมการบริหารพรรคควรมีจริยธรรมเข้มงวดกว่าสมาชิกพรรค และบุคคลทั่วไป แต่ยังไม่มีข้อสรุปประเด็นเงินค่าสมาชิกพรรคคนละ 100 บาทต่อปี เพราะมีความเห็นแตกออก 2 ส่วน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
กลาง มิ.ย. ปิดจ็อบ ก.ม. ลูก 2 ฉบับ
นายวัลลภกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังวางกรอบการพิจารณาว่า ต้องพิจารณาให้เสร็จพร้อมร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. ก่อนนำไปหารือกับ สนช. ในการสัมมนาที่ จ.จันทบุรี วันที่ 20-21 พ.ค.นี้ จากนั้นที่ประชุม สนช.จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. ในวาระ 2 และ 3 วันที่ 8 มิ.ย. ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง จะพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 วันที่ 15 มิ.ย. ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขเนื้อหาเพื่อเซ็ตซีโร่พรรคการเมืองแน่นอน
ศึกชิงเก้าอี้ทำ “ตวง-เจตน์” วงแตก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนผลการเลือกตำแหน่งใน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. ที่เลือกนายตวง อันทะไชย สนช. เป็นประธาน สร้างความไม่พอใจให้กับ กมธ.ส่วนหนึ่งที่สนับสนุน นพ.เจตน์ ศิรธนานนท์ สนช. ขึ้นเป็นประธานตามข้อตกลงตั้งแต่แรก โดย พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก สนช. เป็นผู้เสนอชื่อนายตวงขึ้นมาแข่งขันโดยที่ กมธ. คนอื่นไม่รู้มาก่อน จนทำให้คะแนนโหวตออกมาเท่ากันที่ 8 ต่อ 8 เสียง ซึ่ง นพ.ธำรงค์ ทัศนาญชลี ใช้สิทธิของการทำหน้าที่ประธานชั่วคราว โหวตเลือก นายตวงอีก 1 เสียง ทำให้นายตวงคว้าเก้าอี้ประธานไปท่ามกลางเสียงติติงจาก กมธ.ที่สนับสนุน นพ.เจตน์ ว่าเป็นการผิดมารยาท ความจริงน่าจะคุยกันนอกรอบให้ได้ข้อยุติก่อน
“ตวง” อัดพวกขี้แพ้ชวนตีไม่จบ
ด้านนายตวง อันทะไชย กล่าวว่า ปัญหาเกิดจาก ความไม่พอใจของ กมธ.คนเดียวที่แพ้แล้วไม่ยอมจบ เขาเสนอให้คนของตัวเองเป็น แต่เสียงข้างมากเลือกตน ชอบบอกว่าเป็นคนสนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย แต่พอแพ้ก็เอาไปบอกสื่อ แล้วจะไปแก้ปัญหาปรองดองได้อย่างไร ขนาดเพื่อนกันยังไม่เข้าใจเลย ถามว่าที่ประชุมเลือกตนแล้วจะให้ทำยังไง ต้องลาออกเพื่อให้คนที่คุณเสนอเป็นหรือคนที่เอาเรื่องนี้ไปพูดในทางเสียหายนิสัยไม่ดี นักประชาธิปไตยต้องรู้จักฟังคนอื่นบ้าง ตนมีคนเสนอชื่อเยอะแยะอย่าไปอ้าง พล.อ.นิพัทธ์คนเดียว ถ้าอยากเป็น ประธานทำไมไม่รู้จักไปหาเสียงให้ได้เป็น
สปท.ได้ฤกษ์ถกกฎหมายคุมสื่อ
ที่รัฐสภา พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า กมธ.ปรับปรุงเนื้อหาและจัดทำร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนเรียบร้อยแล้ว เตรียมเสนอให้วิป สปท. พิจารณาวันที่ 27 เม.ย. และทราบว่า สปท.จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม วันที่ 9 พ.ค. สำหรับตัวแทนภาครัฐที่ร่างกฎหมายกำหนดให้เป็นกรรมการสภาวิชาชีพนั้น ตนทราบว่าสื่อมวลชนรู้สึกอึดอัดต่อกรณีที่เป็นข้าราชการในส่วนของรัฐบาล ดังนั้น ในการประชุม สปท. วันที่ 9 พ.ค. จะเสนอให้เขียนไว้ในบทเฉพาะกาลเพิ่มเติม คือ ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการได้ในช่วง 5 ปีหลังการก่อตั้ง และเมื่อครบเวลาให้ 2 ปลัดนั้นพ้นไป และให้คัดเลือกบุคคลใหม่เข้ามาทำหน้าที่
“ปราเมศ” ปลุกพลังคว่ำ ก.ม.ตีตรวน
นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดนิยามคำว่าสื่อใหม่เข้าไปด้วย มีเป้าหมายปิดปากสื่อมวลชนอย่างเบ็ดเสร็จ จนไม่สามารถหาข้อมูลตรวจสอบโครงการที่ไม่ชอบมาพากลของรัฐ นำเสนอให้ประชาชนทราบได้เลย นักข่าวต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐที่เข้ามาควบคุมโดยสภาองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ผ่านการออกและเพิกถอนใบอนุญาต ถ้านักข่าวไม่ไปขึ้นทะเบียนขอใบประกอบวิชาชีพ แล้วไปทำข่าว จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท อัตราโทษจำคุก พอๆกับโทษฆ่าคนโดยไม่เจตนา อีกทั้งต้องผ่านการประเมินจากสภาองค์กรวิชาชีพฯทุกปี ดังนั้นนักข่าวจะต้องรวมพลังเคลื่อนไหวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อคัดค้านร่างกฎหมายที่มีเจตนารมณ์อันอัปยศปิดปากสื่อ ปิดทางการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และครอบงำประชาชน
“ประวิตร” นั่งหัวโต๊ะนำถก ครม.
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ครม. แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่อยู่ ระหว่างการเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 24-26 เม.ย. ทั้งนี้ ก่อนประชุม ครม. พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน นำคณะเจ้าหน้าที่จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เข้าประชาสัมพันธ์กิจกรรมการแข่งขันฝีมือแรงงานแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ที่มีขึ้นวันที่ 26-28 เม.ย. อาคาร 2 อิมแพค เมืองทองธานี มีผู้เข้าแข่งขัน 20 สาขา รวม 209 คน ภายใน งานมีนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กับพระราชกรณียกิจด้านคนพิการ การจัดแสดงสินค้า การสอนอาชีพให้ผู้พิการ โดยระหว่างนั้น พล.อ.ประวิตรอารมณ์ดี หยิบเค้กที่แจกภายในงานให้กับผู้สื่อข่าวด้วย
ไม่หวั่นตกเป็นเป้าเขี่ยพ้นเก้าอี้
พล.อ.ประวิตรกล่าวก่อนเข้าประชุม ครม. ถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ว่า ยืนยันว่าไม่มี เมื่อถามต่อว่า มีข่าวจะปรับเปลี่ยนรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตรตอบว่า “โอ้โห ผมพร้อมนะ ถ้าอยากจะให้ออก คุณจะได้หัวเราะกันอย่างสบาย ผมอยากบอกว่าคนนั่งเขียนข่าวก็นั่งเขียนอยู่ข้างใน อยากเขียนอะไรก็เขียน ไม่ต้องรับผิดชอบ ถามหน่อยว่าคุณจะทำอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ หากมันไม่เกิดขึ้น ไม่รับผิดชอบแล้วจะทำอย่างไร ผู้สื่อข่าวคนไหนก็ได้ตอบผมหน่อย” เมื่อถามย้ำว่า น้อยใจหรือไม่ตกเป็นเป้าปรับ ครม.ตลอด พล.อ.ประวิตรตอบว่า “ผมไม่น้อยใจ อายุปาเข้าไป 72 ปีแล้ว พร้อมออก อายุขนาดนี้แล้ว ไม่มีใครทำงานขนาดนี้หรอก ถึงมีก็น้อยมาก ผมก็เสียสละทุกอย่าง”
“ทักษิณ” อุทธรณ์ภาษีหมื่นล้าน
อีกเรื่อง ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี 1.7 หมื่นล้านบาท จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กรณีการขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อ วันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 เม.ย. ทีมทนายความผู้รับผิดชอบเรื่องดังกล่าว ได้ยื่นอุทธรณ์ใบประเมินภาษีของกรมสรรพากรต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของกรมสรรพากร โดยอุทธรณ์ยืนยันว่านายทักษิณไม่มีภาระภาษี เพราะการขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็กเกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์จึงได้รับการยกเว้นภาษี อีกทั้งการประเมินภาษีของกรรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรและระเบียบต่างๆ
คุมมือยื่นสอบหมุดคณะราษฎรอีก
วันเดียวกัน หน่วยงานความมั่นคงเปิดเผยว่า ในวันนี้เจ้าหน้าที่ทหารได้เชิญตัวนายเอกชัย หงส์กังวาน อดีตผู้ต้องขังในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไปพูดคุยทำความเข้าใจ ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) หลังจากมายื่นเรื่องขอให้ตรวจสอบกรณีการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎร เนื่องจากเกรงจะเกิดความเข้าใจผิด ทำให้สังคมเกิดความสับสน หากพูดคุยเข้าใจแล้วจึงจะอนุญาตให้เดินทางกลับได้
ตร.หิ้วหนุ่มใหญ่อ้างตัวถอนหมุด
ที่ศูนย์บริการประชาชน บริเวณสำนักงาน ก.พ. นายวิชาญ ภูวิหาร รองประธานสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ อ้างตัวว่าเป็นผู้ถอนหมุดคณะราษฎร เดินทางมาอ่านแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า นำหมุดดังกล่าวไว้ที่ใด นายวิชาญอ้างว่า ถอนแล้วก็วางไว้ที่บริเวณดังกล่าว ขณะนี้อยู่ที่ใดไม่ทราบ ทั้งนี้เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญไปพูดคุย นายวิชาญพยายามขัดขืนด้วยการนั่งขัดสมาธิ จนเจ้าหน้าที่ต้องมาหิ้วปีกนำตัวไป สน.ดุสิต โดย พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รอง ผบก. น.1 ระบุว่า เมื่อมีผู้อ้างว่ากระทำความผิด ก็ต้องนำตัว ไปสอบปากคำว่าทำจริงหรือไม่ และตรวจร่างกายว่าสภาพจิตปกติหรือไม่ด้วย แต่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา
“บิ๊กตู่” เตรียมบินถกร่วมมือ 3 ฝ่าย
ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัตร ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุม ครม.เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 10 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งวันที่ 29 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีกำหนดการเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อร่วมประชุมแสดงความยินดีความสำเร็จโครงการความร่วมมือ ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (ไอเอ็มที-จีที) การพัฒนาความร่วมมือการท่องเที่ยว แผนปฏิบัติการเมืองสีเขียว พัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัย และรับรองการพัฒนาร่วมตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ระยะ 20 ปี และแผนงานระยะ 5 ปีปรับใหม่แผน 3 ปีระหว่างปี 2560-2564
“เต้น” พ้อ ทอ.เลิกสัญญาใช้สถานที่
อีกเรื่อง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า จากกรณีที่ประกาศจะจัดงานระดมทุนช่วยเหลือนักเรียนยากจน ในวันที่ 28 พ.ค. ที่หอประชุมกองทัพอากาศ โดยมอบหมายทีมงานประสานสำนักงาน คณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหารงานหอประชุมกองทัพอากาศ และวางมัดจำ 40,000 บาท พร้อมเซ็นสัญญาขอใช้สถานที่ แต่เมื่อคืนวันที่ 24 เม.ย. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าไม่สะดวกจะให้ใช้สถานที่ จึงขอยกเลิกสัญญาและจะคืนเงินมัดจำ ตนตรวจสอบทราบว่า ผบ.ทอ.มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับการจัดงาน และน่าจะเป็นที่มาของการยกเลิกสัญญาหรือไม่ อยากฝากบอก ผบ.ทอ.ว่าอย่าตะขิดตะขวงใจ ตนมาดี ทุกอย่างทำเปิดเผย การติดต่อสถานที่ของฝ่ายความมั่นคงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีวาระการเมือง ทั้งนี้อาจจะหยิบยกขึ้นสอบถามในวงปรองดอง ที่ตนกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จะเป็นตัวแทนหารือที่กระทรวงกลาโหมในวันที่ 26 เม.ย.นี้
นายกฯถกผู้นำบาห์เรนฟื้นสัมพันธ์
สำหรับภารกิจการเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนอย่างเป็นทางการ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 25 เม.ย. (ตามเวลาท้องถิ่น) ที่พระราชวัง Al Gudaibiya กรุงมานามา ได้มีพิธีต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเป็นทางการ จากนั้นหารือทวิภาคีเต็มคณะกับ เชคคอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ นายกรัฐมนตรีบาห์เรน โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า บาห์เรนเป็นมิตรแท้ที่สำคัญ ไทยมีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน และนายกฯบาห์เรน ทรงมีข้อความพระราชสาส์น และข้อความลายพระหัตถ์แสดงความอาลัยในการสวรรคตของสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช รวมถึงถวายพระพรสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวในโอกาสขึ้นทรงราชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกฯบาห์เรนเสด็จถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ปีนี้เป็นวาระครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 40 ปี จะได้ทบทวนความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ในทุกด้าน และซาบซึ้งที่บาห์เรนสนับสนุนพัฒนาการทางการเมืองของไทย
เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระราชาธิบดี
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยนายกฯบาห์เรนได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลง 3 ฉบับ คือ 1.บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงกิจการ เทศบาลและผังเมืองแห่งบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร 2.พิธีสารแก้ไขอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลบาห์เรน เพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และ 3.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์กับมหาวิทยาลัยบาห์เรน ก่อนร่วมงานพระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันที่นายกฯบาห์เรนทรงเป็นเจ้าภาพ จากนั้นช่วงบ่ายนายกฯเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัล คอลิฟะห์ แห่งราชอาณาจักรบาห์เรน และเยี่ยมชมมัสยิดกลาง ก่อนเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติบาห์เรน และกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) วันที่ 26 เม.ย.เวลา 04.20 น.