วันนี้ประเทศไทยเดินเข้าสู่โหมดเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยเต็มตัว

ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านประชามติ และบทเฉพาะกาล ซึ่งกำหนดกติกานำไปสู่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจให้เกิดความสมดุลยภาพ

ระหว่าง “อำนาจปัจจุบัน” กับ “อำนาจใหม่” ที่กำลังจะเข้ามาทดแทน เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองสมานฉันท์ มีการปฏิรูปประเทศและมีนโยบายการบริหารประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ในช่วงเปลี่ยนผ่านยังอยู่ภายใต้ “กติกาเก่า” และ “กติกาใหม่” คาบเกี่ยวกัน โดยเฉพาะตามกติกาใหม่ มีการกำหนดกลไก เพื่อจัดระเบียบและสร้างความเข้มแข็งแก่การปกครองประเทศขึ้นใหม่

ด้วยการจัดโครงสร้างของ “หน้าที่และอำนาจ” ขององค์กรต่างๆตามรัฐธรรมนูญ

และสัมพันธภาพระหว่าง “ฝ่ายนิติบัญญัติ” กับ “ฝ่ายบริหาร” ให้เหมาะสม

การให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่น มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุจริต เที่ยงธรรม มีส่วนในการป้องกันหรือแก้ไขวิกฤติของประเทศตามความจำเป็นและเหมาะสม

การรับรอง การปกป้อง คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยให้ชัดเจน ครอบคลุมอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ภายใต้การใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เพื่อคุ้มครองส่วนรวม

การกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต่อประชาชน เช่นเดียวกับการให้ประชาชนมีหน้าที่ต่อรัฐ

การวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ ขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด เพื่อป้องกันผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ

และการกำหนดมาตรการป้องกันบริหารจัดการวิกฤตการณ์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

...

นั้นคือสิ่งที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทั้งในทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคม ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อเป็นกติกาใหม่ ซึ่งกลไกถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสภาวการณ์บ้านเมืองและกาลสมัย ย่อมมีโอกาสสูงที่จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย หรือ “หน้าที่และอำนาจ” อื่นตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นองค์กรวินิจฉัยชี้ขาด มีผลผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีความพร้อมรับมือกับปัญหาเหล่านี้แค่ไหน นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ว่า บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญจะมีมากขึ้นกว่าเดิมแน่

เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำหนดให้ประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่า การกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

ถ้าวินิจฉัยว่าขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำที่ทำไปจะไปเข้าลักษณะเด็ดขาดว่า เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นกฎหมายธรรมดา ผลต่อไปคือ การรับผิดทางอาญา ในทางละเมิด ในทางวินัยมันจะตามมา

ชี้ให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญเปิดกว้าง แต่ยังดีที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะกำหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์เอาไว้

หัวใจคือต้องหาดุลยภาพให้ได้ การวางหลักเกณฑ์กว้างไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะปริมาณงานจะเพิ่มมากขึ้น เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก็จะเข้ามามาก คุณภาพก็ถูกทำลายด้วยปริมาณที่เกินความจำเป็น แต่ถ้าวางหลักเกณฑ์แคบไป เรื่องที่จะเข้ามาก็น้อย ที่สำคัญเรื่องที่ควรจะแก้ไขให้สังคมมันจะไม่เข้ามา

ในวันที่ 26 เม.ย.นี้ ทางคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะมีการประชุมเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เชิญผู้เข้าร่วมประมาณ 200 คน เพื่อหารือดุลยภาพที่ลงตัวให้ได้ กฎหมายลูกฉบับนี้อย่างเร็วสุดจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีถึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในระหว่างนี้ ประชาชนสามารถยื่นคำร้องตรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ได้เลยมาที่ศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่มีกรอบหรือขอบเขต

ฉะนั้น เราต้องวางแผนจัดการงานที่จะเข้ามาเยอะมาก โดยแยกเรื่องสำคัญหยิบขึ้นมาพิจารณาก่อน เรื่องสำคัญดูได้จากมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก กระทบต่อผู้ด้อยโอกาสแม้มีจำนวนน้อยก็สำคัญและผลกระทบต่อประเทศชาติ ขณะที่เรื่องที่สัพเพเหระก็เข้าคิวรอเอาไว้ก่อน

เปรียบเสมือนขอให้เราได้สร้างถนนที่ประชาชนใช้แล้วไม่หลงทาง ปลอดภัยเอาไว้ก่อน และถึงค่อยๆพัฒนาถนนเส้นนั้นให้ดีขึ้น ดีกว่าทำเป็นถนนสองสายแล้วทะเลาะวิ่งชนกัน

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย อยู่ระหว่างกติกาเก่าและกติกาใหม่ โดยเฉพาะกติกาใหม่มีการกำหนดโครงสร้างกลไกใหม่เยอะมาก อาจมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กังวลเรื่องนี้แค่ไหน นายจรัญ บอกว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ทำงานกันมาตลอด ไม่มีปัญหา

แต่ในช่วงเดือน พ.ค.นี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะครบวาระ 5 คน อีก 4 คนเพิ่งสรรหาเข้ามา วินิจฉัยคดีไม่เกิน 2 คดี ฉะนั้น ในช่วงที่จะมีการเปลี่ยนให้ครบ 9 คน ผสานกันให้เร็วหน่อยคงไม่น่ามีปัญหา

แต่เรื่องที่เข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดจะมีมากขึ้น

นายจรัญ บอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญมี “หน้าที่และอำนาจ”

พิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย

พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับ “หน้าที่และอำนาจ” ของสภาผู้แทน ราษฎร วุฒิสภา ครม.หรือองค์กรอิสระ ซึ่งมีการขยาย “หน้าที่และอำนาจ” ของศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยปัญหาองค์กรเหล่านี้ เถียงกันอย่างไรก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เมื่อวินิจฉัยอย่างไร ก็จะทำให้องค์กรเหล่านี้ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์

...

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ประเด็นนายกรัฐมนตรีคนนอกจะต้องถูกส่งเรื่องมาให้วินิจฉัย เพราะขัดแย้งกับบัญญัติในรัฐธรรมนูญและขัดกับหลักประชาธิปไตย

(ตามบทเฉพาะกาลกำหนดว่า ในวาระเริ่มแรกเมื่อมีการ เลือกตั้ง ส.ส. หากมีกรณีไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่อ อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งเอาไว้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด

เปิดช่องให้ ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้น เพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชี

รายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งเอาไว้

ในกรณีนี้ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน

สุดท้ายรัฐสภามีมติด้วย คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ให้ยกเว้นได้)

นายจรัญ บอกว่า ที่มานายกรัฐมนตรีคนนอกเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

จะไปบอกรัฐธรรมนูญขัดกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ ไม่มีช่องอย่างนั้น ไม่มีที่ไหนจะไปบอกว่าให้รัฐธรรมนูญมาตราใดมาตราหนึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญอีกมาตราหนึ่ง เป็นอันบังคับไม่ได้

ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตีความกฎหมายฉบับเดียวกันให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รัฐธรรมนูญมีทั้งหมด 279 มาตรา ต้องถูกใช้ให้มันไปด้วยกัน ไม่ให้ขัดแย้งกัน เป็นนิติวิธีที่ใช้เป็นสากลมาแต่โบราณกาล โดยแยกว่าบทไหนเป็นหลัก บทไหนเป็นข้อสังเกต มันก็ไม่ขัดแย้งกัน

ส่วนความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์และดุลยภาพของอำนาจแต่ละช่วง

ถ้าปัจจุบันอยู่กับฝ่ายที่ต้องการเสรีประชาธิปไตยเต็มตัว เขียนอย่างนี้ไม่ได้ แต่ถ้าดุลยภาพอยู่กับอำนาจเก่า แล้วฝ่ายที่ตรงข้ามอ่อนแอ จะปฏิเสธการเขียนอย่างนี้ได้หรือ ถ้าปฏิเสธเขาก็ไม่คืนอำนาจให้

เช่นเดียวกับมาตราสุดท้ายในรัฐธรรมนูญที่จะหมดอายุทันทีเมื่อมีรัฐบาลใหม่

...

แต่ที่ต้องบัญญัติเอาไว้ เพื่อรับรองการกระทำของ คสช.-หัวหน้า คสช. แล้วส่งผ่านอำนาจ พอผ่านไปดุลอำนาจเปลี่ยนมาอยู่ที่ระบอบใหม่เต็มรูปแบบแล้ว ถึงค่อยๆถอดออกในสิ่งที่คิดว่าไม่พอใจ

กระบวนการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยก็ราบรื่น

ไม่แตกความสามัคคี

ประเทศเดินหน้าต่อไปได้.

ทีมการเมือง