เคยสงสัยกันไหมว่า ชาวต่างชาติที่เราเห็นกันเป็นประจำในบ้านเมืองเรานั้น นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว พวกเขาเข้ามาทำอะไรกัน??

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับข้อมูลมาว่า ย่านถนนรัชดาภิเษก เป็นแหล่งที่ชาวจีนเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และจากลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นนักท่องเที่ยว เนื่องจากบางคนเห็นหน้าค่าตากันเป็นแรมปี และจากการลงพื้นที่เพื่อเสาะหาความจริง ทีมข่าวฯ ก็ได้พบเบาะแสต่างๆ ว่า ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งทั่วกรุงเทพมหานคร ที่เป็นแหล่งพักอาศัยของคนต่างชาติเหล่านี้ ทั้ง ฝรั่ง จีน แขก

คนเหล่านี้ใช้วิธีการใด และเข้ามาอาศัยในประเทศไทยเพื่อจุดประสงค์อะไร ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ครั้งหนึ่ง เคยแฉกลางสภาฯ ด้วยการเปิดเผยคลิปบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนายหน้าคอยยืนเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการผ่านแดนเข้าประเทศไทยได้ หรือนี่ก็คือจุดเริ่มต้นว่า...ทำไมถึงมีคนต่างชาติอาศัยอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง

...

วีซ่าหมดก็อยู่ต่อได้ แค่ไป...เติมเงิน!?!

นายชูวิทย์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย นักการเมืองจอมขุดคุ้ย เผยข้อมูลว่า คนพวกนี้มาเพื่อแสวงหาโอกาส ต้องการมาหารายได้ หนีความยากจน หรือแม้กระทั่งมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตอนเดินทางเข้ามาก็ถือวีซ่านักท่องเที่ยว เมื่อวีซ่าหมดอายุ ก็ต้องไปยื่นขอการตรวจลงตราที่ด่านตามชายแดน ซึ่งตรงนี้แหละคือช่องทางเรียกรับเงิน สำหรับอัตราค่าบริการก็แบ่งไปตามแต่ละสัญชาติ แต่ส่วนใหญ่ก็จะจัดกลุ่มเป็น ฝรั่ง จีน แขก โดยฝรั่งผมทอง เท่าที่ทราบคืออัตราค่าบริการราคา 2-3 พันบาท พวกนี้มีนายหน้าย่านทุ่งมหาเมฆ พวกฝรั่งค่าบริการจะถูกที่สุด เพราะคนไทยมองว่าฝรั่งเป็นกลุ่มที่น่าเชื่อถือ เป็นคนมีเงิน มาจากประเทศที่เจริญ ขั้นตอนการดำเนินการจึงง่ายกว่าชาติอื่นๆ

กลุ่มที่สองคือคนจีน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 5,000 บาท พวกนี้จะอาศัยอยู่แถวย่านพระราม 2 รัชดาภิเษก พวกคนจีนที่เข้ามาก็จะมาทำอาชีพหลากหลาย เช่น ขายอะไหล่โทรศัพท์มือถือ เปิดร้านอาหาร รวมไปถึงขายบริการทางเพศ

กลุ่มที่สามคือพวกแขก ปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ ราคาจะอยู่ที่ราวๆ 8,000 บาท ถ้าเป็นคนแขกก็ให้นึกถึงบังขายถั่ว แขกขายผ้า ส่วนชาติอื่นๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี อย่างกลุ่มที่อนุญาตยากๆ ราคาจะอยู่ราวๆ 1,2000 - 15,000 บาท

สำหรับลาว กัมพูชา นั้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะจะมีนายหน้าประจำการอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองตามชายแดนที่ด่านอรัญประเทศ ทั้งๆ ที่ติดกับกัมพูชา แต่คนสัญชาติลาวจะเข้าออกประเทศไทยบริเวณนี้มากที่สุด รองลงมาถึงจะเป็นชาวกัมพูชา เจ้าหน้าที่ก็จะหาข้ออ้างให้ผิดอะไรสักอย่าง เช่น เอกสารไม่ครบ ขาดทะเบียนบ้าน ไอ้นี่ไอ้นั่นไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็ต้องไปติดต่อนายหน้า ไม่งั้นก็เข้าประเทศไม่ได้ ค่าใช้จ่ายก็จะอยู่ที่ 500-600 บาท คนกลุ่มนี้จะเข้าออกเป็นประจำ แล้วมักจะถูกอ้างว่าเป็นวิถีชีวิตชายแดน เวลาเข้ามาก็แจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามาทำงานอยู่รอบๆ ชายแดน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงคนเหล่านี้ส่วนมากมักจะเข้าไปทำงานในเมืองที่มีอัตราการจ้างงานสูง อย่างเช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี

การต่ออายุวีซ่า หลักๆ จะมีอยู่สองวิธี คือทำด้วยตัวเองหรือจะไปทำผ่านบริษัททัวร์ โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องไปก็ได้ แต่อาจต้องจ่ายเงินเพิ่ม สำหรับด่านชาวต่างชาตินิยมไปทำมากที่สุดคือ ด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพราะใกล้กรุงเทพฯ มีการประมาณการว่ามีคนผ่านเข้าออกที่ด่านนี้เกือบ 600,000 คนต่อเดือน แล้วปีหนึ่งมี 12 เดือน รายได้ตรงนี้จึงมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่ามีการจัดสรรรายได้กันภายใน เงินเหล่านี้ไม่ได้เข้าหลวง แต่เอามาแบ่งกัน ซึ่ง ผบ.ตร.คนก่อน ก็เคยพูดไว้ว่า แหล่งผลประโยชน์มหาศาล จะอยู่ที่ ตม.


อาชญากรรมตามมา ปัญหาอื่นๆ เพียบ

อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จอมแฉ ยังกล่าวอีกว่า ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ชาวต่างชาติส่วนใหญ่จึงเข้ามาทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการค้า ซึ่งถ้ามันเป็นอาชีพสุจริตก็คงไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด สุรา การพนัน ขายบริการ ยกตัวอย่างที่เยาวราชก็มีซ่องจีน ที่นานามีแก๊งแอฟริกัน แล้วถามว่าคนพวกนี้เข้ามาได้อย่างไร...?

...

แม้จะมีกฎหมายอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทยเท่านั้น แต่ก็เป็นกฎหมายเก่า อย่างอาชีพตัดผม ใครเขาจะมาทำ ไม่มีใครหรอกที่มาประเทศไทยเพื่อเปิดร้านตัดผม ถ้าเป็นซีอีโอตามบริษัทใหญ่ๆ แบบนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เขามีฝ่ายกฎหมายจัดการให้ แต่คนในระดับนี้จะมีสักกี่คน การจะทำงานแบบถูกกฎหมายในประเทศไทย จะต้องขอเวิร์กเพอร์มิต ซึ่งไม่ได้ขอกันง่ายๆ ขั้นตอนยุ่งยากมาก ใช้เอกสารเป็นปึ๊งๆ

ส่วนมากก็มาทำอาชีพที่สังคมไม่ได้รองรับ อย่างพวกแขกขายถั่ว นักร้องจีนตามร้านคาราโอเกะ แล้วก็พวกอาชญากรทั้งหลาย ซึ่งที่สุดแล้วปัญหาที่ตามมาก็คืออาชญากรรม ยกตัวอย่าง แก๊งปากีสถานที่ซอยนานาที่ทำพาสปอร์ตปลอม แก๊งไนจีเรียที่ทำเงินดอลลาร์ปลอม หรือขายยาเสพติดให้นักท่องเที่ยว พวกเกาหลีมาเลย์ก็ทำโต๊ะพนันบอลโดยไปเช่าคอนโดฯ หรูๆ ย่านสุขุมวิทมาเปิดโต๊ะพนันออนไลน์ ถ้าคนจีนนี่เอาหมดทุกอย่าง ล่าสุดก็ขโมยเพชร

ขาดแคลนแรงงาน เพื่อนบ้านช่วยเติมเต็ม

ชูวิทย์เผยต่ออีกว่า คนไทยที่ทำงานในระดับแรงงานสูญหายไป กลุ่มแรงงานเหล่านี้ของไทยจึงแทบจะไม่มี ซึ่งปัญหานี้ประเทศไหนๆ ก็เป็นเหมือนกัน แรงงานระดับล่างๆ มักจะไม่มีคนชาติตัวเองมาทำ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ให้ลองดูอเมริกา แม่บ้านในอเมริกาก็ไม่มีคนชาติตัวเอง แต่จะไปเอาฟิลิปปินส์ แอฟริกา ประเทศไทยต่อไปก็เช่นเดียวกัน

“หลังๆ มานี้จะหาคนทำงานบ้าน คนสวน คนงานก่อสร้างที่เป็นคนไทยแทบไม่ได้แล้ว แคมป์ก่อสร้างเดี๋ยวนี้จะติดประกาศอะไรต้องมีทั้ง ภาษาไทย พม่า กัมพูชา ขนาดยามที่แจกบัตรจอดรถตามห้างก็แทบไม่เห็นคนไทยกันแล้ว สุดท้ายก็หันไปพึ่งพาแรงงานต่างด้าวมาทดแทน พวกที่มาถูกต้องตามกฎหมายก็มีสวัสดิการ มีประกันสังคมตามกฎหมายแรงงาน แต่พวกที่มาแบบผิดก็ว่ากันไปตามยถากรรม”

...

"ท้ายที่สุดรายได้ของคนพวกนี้เรียกว่าเงินนอกระบบ คนที่ทำผิด ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการทำงานโดยที่ไม่ได้เปิดบริษัท ไม่มีใบเสร็จ ไม่ได้เสียภาษี ตามกฎหมายไม่ได้ให้คนเหล่านี้มาทำงาน แต่อนุญาตให้มาท่องเที่ยว ทำงานเสร็จรับเงินสดเข้ากระเป๋าโอนกลับประเทศ ใครจะไปตรวจสอบได้"

ประเทศเสรี ใจดี กับชาวต่างชาติ

อดีตนักการเมืองชื่อดังบอกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้ร้ายกับคนต่างชาติ ไม่มีการเหยียดเชื้อชาติ ไม่ดูหมิ่นศาสนา มีความหลากหลายทางสังคม คนไทยจึงยอมรับให้คนต่างสังคมมาอยู่ร่วมกันได้ อีกอย่างผู้คนก็มีน้ำใจ ลองไปดูขอทานสิ ทำไมไม่ไปขอประเทศอื่นกัน นั่นก็เพราะคนไทยใจบุญ ขี้สงสาร จนความใจดีบางครั้งก็เป็นผลร้าย แต่กลับกัน ลองคุณไปทำแบบนี้ที่สิงคโปร์สิ โดนจับติดคุกหัวโต!!!

"ผมเคยทำคลิปฝรั่งทิ้งก้นบุหรี่ลงบนท้องถนน แล้วถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจเรียกเข้าไปปรับเงินในซุ้ม 2,000 บาท ไม่มีใบเสร็จการรับเงิน ในกรณีเดียวกัน ลองไปดูที่ซอยนานา อาจจะมีตำรวจมาขอตรวจปัสสาวะ หรือโดนเรียกตรวจว่ามียาเสพติด จนไปถึงขั้นโดนกลั่นแกล้ง แต่ทั้งหมดนี้ คือสัญลักษณ์ของประเทศไทย ที่ชาวต่างชาติมองเห็นว่าปัญหาต่างๆ แก้ไขได้ด้วยการจ่ายเงิน"

...

อีกอย่างต้องเข้าใจว่าประเทศจีน อินเดีย มีประชากรเยอะ เมืองที่ประชากรมากๆ อย่างกรุงเทพฯ มีเป็นร้อยๆ เมือง เพราะฉะนั้นการจะทำมาหากินอาจจะลำบาก เมื่อเข้ามาเมืองไทยก็มาทำงานหลากหลาย มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป คนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแบบผิดกฎหมาย มีมากกว่าที่อยู่แบบถูกกฎหมาย

“พวกนี้มาแบบกึ่งถูกกึ่งผิด คือตอนเข้ามาก็มาแบบถูกต้อง แต่เวลาอยู่ต่อกลับอยู่แบบผิด แบบนี้ถ้าโดนจับ ในประเทศอื่นก็ต้องไปเข้าคุกก่อน แต่ถ้าเป็นประเทศไทยไม่ต้องเข้าคุก แค่ไปจ่ายค่าปรับ”

เพื่อนผมเป็นชาวต่างชาติมาจากอเมริกา ตั้งใจว่าจะมาใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายที่ประเทศไทย เขาเดินทางมาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว พอวีซ่าหมดก็ไปขอต่อที่ด่าน แต่กลับโดน ตม. กักตัวไว้สุดท้ายต้องตัดสินใจบินไปมาเลเซีย 2-3 วันแล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่ พอมาหลายๆ ครั้ง ก็ถูก ตม. สอบสวนว่ามาทำอะไรบ่อยๆ ซึ่งถ้าเขาจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ ก็จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ถ้าเป็นคนไทยการจ่ายเงินในลักษณะนี้เรียกว่าการให้สินน้ำใจ แต่สำหรับฝรั่งถือว่าเป็นการคอร์รัปชัน อย่างกรณีนี้ถ้ายอมจ่ายไป 2,000 บาท ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางออกนอกประเทศ แต่เขาไม่ยอม เพราะถือว่าไม่ได้ทำความผิดอะไร ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงจริยธรรมของสังคมที่ไม่เหมือนกัน

กฎหมายยิ่งซับซ้อน เปิดช่องทางหารายได้เสริม

“ผมไปที่อเมริกา เห็นผู้ชายกับผู้หญิงโดนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจับไปสัมภาษณ์ โดยใช้วิธีการแยกไปสอบถามกันคนละห้อง เจ้าหน้าที่ถามว่าถ้าเป็นสามีภรรยากันจริงๆ งั้นตอบได้ไหมว่า ภรรยานอนข้างซ้ายหรือขวา ใช้ยาสีฟันอะไร ขับรถอะไร ถามไปยันวอลเปเปอร์ที่บ้านว่าเป็นรูปอะไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า คุณอยู่ด้วยกันจริง แล้วของไทยล่ะ มีแบบนั้นหรือไม่...?” นายชูวิทย์ กล่าวและว่า ตม.ของประเทศไทยปฏิบัติหน้าที่ไม่ค่อยตรงไปตรงมาเท่าที่ควร มักใช้ช่องทางของกฎหมายหารายได้เสริม แล้วการออกกฎระเบียบภายในเพื่อให้ขั้นตอนซับซ้อนยุ่งยากขึ้น ในอนาคตก็ยิ่งเป็นช่องทางให้อีก เพราะต่อไปจะมีชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยมากมาย คนเหล่านี้บางส่วนก็อาจถูกกักตัวหรือติดขัดกับกฎต่างๆ ที่ตั้งขึ้นทำให้ไม่สามารถเข้าเมืองได้ จะเข้ามาในประเทศไทยแต่ละครั้ง มีข้อกำหนดหลายอย่าง หลักการมันมีหลายข้อยิบย่อย ผ่านข้อ 1.1 แต่ไม่ผ่านข้อ 1.2 สุดท้ายต้องใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจ แล้วก็ปฏิเสธการเข้าเมืองจนกว่าจะมีการจ่ายเงิน จากอะไรที่ทำให้ไม่ได้ก็สามารถทำให้ได้ทันที

“ให้คิดดูว่าถ้าเป็นเราเวลาไปต่างประเทศ ต้องกังวลว่าเจ้าหน้าที่จะอนุญาตไหม จะเข้าประเทศได้หรือไม่ กลัวเสียเวลา สู้จ่ายเงินไปเลยดีกว่า ต้องมาคอยกังวลจะโดนสอบสวน แล้วถ้าไม่อนุญาตก็ต้องโดนเนรเทศอีก ของแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งจะมี มันมีมานานมากแล้ว ถึงจะมีระบบ warning คอยเตือนการเข้าออกที่ผิดปกติ พอเข้าขั้นตอนการเรียกไปสัมภาษณ์ ก็เปิดโอกาสให้ ตม. ทุจริตมากขึ้น” นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

บอมเบย์เมืองไทย ศูนย์รวมใจอาบัง

หลังได้รับข้อมูล ทีมข่าวฯ ไม่รอช้าที่จะสำรวจตามสถานที่ต่างๆ ที่สืบทราบมาว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่มาอาศัยทำมาหากินในประเทศไทย สำหรับสถานที่แรกที่สำรวจ อยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี หลังได้รับแจ้งว่ามีสถานที่ที่แขกอินเดียนิยมมาเช่าห้องพักอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อทีมข่าวฯ ไปถึงก็ได้พบสภาพเช่นนั้นจริงๆ โดยอาคารดังกล่าว ตั้งอยู่กลางซอยเรวดี เขตอำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สภาพอาคารเป็นคอนโดมิเนียม 5 ชั้น มีอยู่ด้วยกันหลายตึก

เมื่อเดินเข้าไปบริเวณหน้าตึก จะพบเห็นจักรยานและรถมอเตอร์ไซค์เป็นจำนวนมาก โดยคนที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นบอกว่า รถจักรยานและจักรยานยนต์พวกนี้เป็นของ "อาบัง" เมื่อถึงเวลา อาบังพวกนี้ก็จะขี่รถออกไปทำงาน เช่น ขายถั่ว ขายผ้า ไปจนถึงปล่อยเงินกู้ พอตกเย็นก็จะกลับมาตั้งวงสังสรรค์กัน เป็นเช่นนี้แทบทุกวัน คนที่อยู่ในพื้นที่ก็ไม่ได้สนใจหรอกว่า อาบังพวกนี้อยู่ในประเทศไทยแบบถูกกฎหมายหรือไม่ เพราะเป็นภาพชินตาที่เห็นกันทุกวัน คนพวกนี้อยู่มานานมากแล้ว มีทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่สลับสับปลี่ยนกันมา อีกทั้งที่นี่ก็เป็นย่านที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มีผู้คนสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาตรวจตราบริเวณนี้เป็นประจำ แต่ก็ไม่เคยเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่มาดำเนินการกับคนพวกนี้แต่อย่างใด หรือถึงมีการดำเนินการก็คงไม่มีใครมาสนใจ...

หนีความยากจน เริ่มต้นที่พาหุรัด

ทีมข่าวฯ ได้สอบถามไปยังแขกอินเดียคนหนึ่งไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ เขาเล่าว่า มาอยู่เมืองไทยมาไม่ต่ำกว่า 15 ปี นานๆ ถึงจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่อินเดียเป็นครั้งคราว ตอนเข้ามาใหม่ๆ เพื่อนที่พาหุรัดเป็นคนแนะนำให้ไปติดต่อนายห้างเพื่อนำสินค้ามาขาย เพื่อนคนเดิมยังแนะนำให้ไปเช่าห้องพักอยู่รวมกับคนอินเดียคนอื่นๆ ด้วย อยู่ไปอยู่มาก็มีคนอินเดียมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งที่พักอยู่อาคารเดียวกัน และพักอยู่ในสถานที่ใกล้เคียง แต่ทุกคนก็รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะว่าคนที่มารุ่นหลังๆ ส่วนมากก็ถูกชักชวนจากคนรู้จักที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยก่อน

“คนอินเดียส่วนใหญ่ที่ทำมาหากินในเมืองไทย เพราะหลบหนีความยากจนมาจากเมืองบอมเบย์ คนพวกนี้อยู่ในประเทศบ้านเกิดก็มีแต่รอวันตาย ไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้เลย จึงต้องหาช่องทางทำมาหากินในประเทศอื่น และประเทศไทยก็เป็นตัวเลือกอันดับแรก ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าการมาทำงานในเมืองไทยจะผิดกฎหมายก็ตาม” และไม่ใช่ว่าจะประกอบอาชีพระดับล่างเพียงอย่างเดียว คนอินเดียและแขกจากประเทศอื่นๆ ถ้ามีฐานะหน่อยก็สามารถมาเปิดกิจการค้าขายในประเทศไทยได้ อย่างที่ซอยนานา จะเห็นร้านขายของหรือร้านอาหารที่มีเจ้าของร้านเป็นคนแขกอยู่หลายร้าน

ผลจากการอยู่อาศัยแบบผิดกฎหมายก็คือกฎหมายไม่สามารถคุ้มครองหรือให้สิทธิต่างๆ ได้ อย่างเช่น การปล่อยเงินให้กู้ แล้วลูกหนี้เกิดหนีขึ้นมา จะไปฟ้องร้องแจ้งความก็ทำไม่ได้ “วันดีคืนดีก็มีกลุ่มคนอ้างว่าเป็นตำรวจ มาถามว่าหากินแถวนี้ได้เคลียร์กับใครหรือยัง ตอนนั้นก็ตอบไปว่าได้จ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ไปแล้ว แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ เจ้าหน้าที่ชุดนี้เป็นคนละชุดกับที่จ่ายไป เพราะฉะนั้นก็ต้องจ่ายให้ชุดนี้ด้วย พอได้ยินแบบนั้นผมก็โวยวายนิดหน่อยเพราะกลัวถูกหลอก แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจ่ายเงินไปแบบปฏิเสธไม่ได้”

อยู่ไทยไม่ต้องคิดมาก ขอวีซ่ายากแต่ไม่ต้องกังวล

แหล่งข่าวชาวอินเดียอีกคนหนึ่งก็ยืนยันแบบเดียวกัน เขาเคยขอวีซ่าธุรกิจ (NON-B) เพื่อมาทำกิจการค้าขายในประเทศไทย แต่ขอไม่ผ่าน สุดท้ายจึงใช้วีซ่านักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยแทน เมื่อมาถึงประเทศไทยก็ให้เพื่อนชาวไทยช่วยหาบริษัทที่รับทำวีซ่า ให้ช่วยเปลี่ยนประเภทวีซ่าเป็นแบบธุรกิจให้ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 บาท ซึ่งสามารถอยู่ในประเทศไทยต่อได้อีก 3 เดือน ในระหว่างนี้ก็ต้องรีบหาบริษัทเข้าทำงานที่สามารถออกใบรับรองเพื่อไปยื่นขอเวิร์กเพอร์มิต แต่ถ้ายังไม่สามารถหางานทำได้ก็ยังมีหนทางอื่นอีก คือหาภรรยาชาวไทย

“เพื่อนๆ ของผมที่เป็นชาวยุโรป นิยมหาแฟนเป็นคนไทย ยิ่งถ้ามีการจดทะเบียนสมรสกันก็ไปยื่นขอวีซ่าประเภทติดตาม (NON-O) และท้ายที่สุดถ้าไม่สามารถยื่นขอวีซ่าประเภทใดได้เลย ก็จะอยู่แบบผิดกฎหมายต่อไปแบบดื้อๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยตรวจสอบอยู่แล้ว หรือถ้ามีการตรวจสอบจริงก็เพียงไปจ่ายค่าปรับ แต่ถ้าถึงขั้นส่งกลับประเทศนั้นยังไม่เคยเจอ ซึ่งใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ ชาวต่างชาติส่วนมากก็รู้ว่าการอยู่เมืองไทยจะบอกว่ายากก็ยาก แต่จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย”

แหล่งข่าวยังเล่าถึงย่านนานาในยามค่ำคืนว่า มันคือสถานที่ท่องเที่ยวอันขึ้นชื่อของคนต่างชาติซึ่งมีน้อยคนที่จะไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ นานานอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว ยังมีอพาร์ตเมนต์อีกหลายแห่งที่ชาวต่างชาตินิยมเช่าพักอาศัย แต่ที่พบเห็นได้มากที่สุดคงไม่พ้นชาวแอฟริกัน โดยเฉพาะตามผับบาร์ในซอยคาวบอย พวกนี้อยู่รวมกันเป็นแก๊งใหญ่ แต่ไม่ทราบว่านอกจากขายยาเสพติดแล้ว คนกลุ่มนี้ประกอบธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ ด้วยหรือไม่ แต่ที่รู้คือคนแอฟริกันส่วนใหญ่ก็อยู่แบบผิดกฎหมายไม่ต่างกับคนชาติอื่นๆ แม้จะเป็นใจกลางกรุงเทพฯ มีตำรวจดูแลทั้งเรื่องการจราจรและอาชญากรรม แต่คนเหล่านี้ก็ยังอาศัยอยู่ได้เสมือนเป็นพลเมืองของประเทศไทย

“เพื่อนของผมเคยมาซื้อกัญชาจากคนแอฟริกันที่นี่ เขาก็ขายกันเป็นปกติ ไม่ต้องปิดบังอะไรมาก แล้วคนรอบข้างก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลก ผมเองยังคิดเลยว่าแบบนี้ไม่ผิดกฎหมาย” แหล่งข่าวชาวอินเดียกล่าว

ต่างชาติเสรี เปิดร้านขายของ บ้าง...ขายบริการ

ร้านค้าใหญ่ย่านเสือป่า...หากมองผิวเผิน ที่นี่ก็ไม่ต่างจากศูนย์การค้าทั่วๆ ไป บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็ทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างคับคั่ง ความเป็นปกติทุกอย่างกลับต้องมาสะดุด เพราะทีมข่าวฯ สังเกตได้ว่า ร้านค้าในสถานที่แห่งนี้ เกินกว่าครึ่งมีเจ้าของเป็นคนจีน!!! ทีมข่าวฯ จึงได้สอบถามถึงที่มาที่ไปว่าการมาเปิดร้านขายของในประเทศไทยแบบนี้ จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

“แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่สามารถพูดไทยได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เจ้าของร้านชาวจีนเพิ่งจะจบบทสนทนากับลูกจ้างชาวไทยด้วยภาษาไทยไปหมาดๆ !!!”

ขณะที่โรงแรมแห่งหนึ่ง บนถนนเยาวราชก็ไม่ได้น้อยหน้า เพียงแค่เดินไปโฉบ ดวงตาชั้นเดียวไม่ต่ำกว่า 20 คู่ ต่างก็จับจ้องมาที่ผู้มาเยือน และหากเดินเข้าไปหาตามสายตาเชื้อเชิญเหล่านั้น ก็ไม่วายที่จะถูกแร้งทึ้ง ทั้งดึงทั้งฉุด หมายจะให้หยุดไปเสพสุขกับสาวน้อยสาวใหญ่เหล่านั้น และที่แน่นอนที่สุดคือไม่มีใครสามารถพูดภาษาไทยได้ เพราะสาวบริการเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มาจากประเทศจีนทั้งสิ้น

“สาวๆ ที่ให้บริการแทบจะไม่มีใครพูดไทยได้ ส่วนคนที่พูดได้ก็พูดไม่เป็นประโยค จะสื่อสารกับผู้ซื้อบริการ จะต่อรองราคา ก็ใช้วิธียกไม้ยกมือแสดงค่าตัวที่หลักร้อย” คือคำยืนยันจากลูกค้ารายหนึ่ง ว่าที่นี่เป็นเมดอินไชน่าแท้ๆ

ในตอนต่อไป ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปดูกันว่าชาวต่างชาติเหล่านี้ มีวิธีหลบเลี่ยงอย่างไรบ้างเพื่อให้การเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยของพวกเขา ไม่ถือว่าผิดกฎหมายเสียทีเดียว...