ถ้าโดนฟ้องให้ขอประกันตัว

รัฐมนตรีต่างประเทศยืนยันพร้อมช่วย “บิ๊กแจ๊ด” เต็มที่ หากอัยการสั่งฟ้องจะเดินขั้นตอนขอประกันตัว ใช้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเข้าหารือ ด้าน ผบก.ตท.ระบุยังไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรถึงพฤติการณ์แห่งคดี ต้องรอความเห็นของอัยการ ถ้าสั่งฟ้องจำเป็นต้องลุ้นศาลพิพากษาอีกเฮือก สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่กล้าประเมินสถานการณ์

กรณี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น. ต้องเผชิญชะตากรรมชีวิตหลังเกษียณอายุราชการ ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคุมตัวในสนามบินนาริตะ ระหว่างเตรียมขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย เมื่อพบปืนลูกโม่กระบอกจิ๋ว .22 พร้อมกระสุนซุกอยู่ในกระเป๋า ก่อนนำตัวส่งอัยการอยู่ระหว่างพิจารณาจะสั่งฟ้องหรือไม่ ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เร่งช่วยเหลือ โดยให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว ประสานงานกับทางการญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับคนไทยคนอื่นที่ประสบปัญหาตกทุกข์ได้ยากในต่างแดน จะใช้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเข้าพูดคุย

พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า ทั้งนี้ ต้องยึดหลักกฎหมายของญี่ปุ่นด้วย หากอัยการจะมีคำสั่งฟ้อง ทางการไทยก็ยินดีช่วยเหลือในขั้นตอนการขอประกันตัวตามกระบวนการกฎหมายของญี่ปุ่น รวมทั้งจะยืนยันว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เคยมีตำแหน่งเป็นนายตำรวจระดับสูงในไทย ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงที่ประเทศญี่ปุ่น จะมีการหยิบยกเรื่องการช่วยเหลืออดีต ผบช.น.หารือด้วยหรือไม่ พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า คงต้องดูท่าทีของทางญี่ปุ่นก่อน รวมถึงดูความเหมาะสมของสถานการณ์ด้วย

...

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันเดียวกัน พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา ผบก.ตท. เปิดเผยอีกครั้งยืนยันว่า คดีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยังไม่มีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรถึงพฤติการณ์แห่งคดี หรือการถูกจับกุมกลับมา มีเป็นเพียงการประสานงานทางวาจาผ่านนายตำรวจประสานงานและทางสถานทูตเพียงเท่านั้น ส่วนขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมาย เหมือนกับกระบวนการยุติธรรมหลักสากลทั่วโลก คือ ตำรวจ อัยการ ศาล ขณะนี้ผ่านขั้นตอนของตำรวจไปแล้ว อยู่ในขั้นของอัยการ ยังต้องรอดูว่าอัยการจะมีความเห็นอย่างไร จะสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง ถ้าสั่งไม่ฟ้องถือว่าพ้นคดีไป กลับบ้านได้ แต่ถ้าสั่งฟ้องก็ต้องไปถึงศาล ต้องลุ้นต่ออีกว่าศาลจะพิพากษาลงโทษประการใด

ผบก.ตท.มีความเห็นว่า ถ้าศาลตัดสินจำคุก ต้องดูว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายอย่างไรบ้างในการช่วยเหลือคนไทยคนนี้ รัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น มีสนธิสัญญาการโอนตัวนักโทษระหว่างกัน เป็นไปตามหลักว่า นักโทษคนใดที่ต้องคำพิพากษาแล้วควรมีสิทธิได้รับการเยี่ยมเยียนจากญาติพี่น้อง ในกรณีที่ไปติดคุกต่างแดนทำให้ญาติพี่น้องไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนได้ จึงมีข้อตกลงการแลกตัวนักโทษเกิดขึ้นว่า ต้องโทษในระดับหนึ่งแล้วจะขอตัวกลับต้องโทษที่เหลือในประเทศที่ตัวเองเกิดได้ แต่ตามหลักการต้องรับโทษ 1 ใน 3 ของคำพิพากษานั้นก่อน

พล.ต.ต.อภิชาติยอมรับว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่กล้าที่จะประเมินสถานการณ์ เพราะทุกประเทศมีอำนาจอธิปไตย อาจจะไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น คงไม่มีใครกล้าตอบว่าอัยการจะตัดสินอย่างไร ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังไม่ได้รับการประสานจากญาติของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แต่ถ้าสามารถที่จะช่วยอะไรได้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความยินดีที่จะดำเนินการให้ ขณะนี้คงทำได้แค่รอ

“เราอาจจะโชคร้ายไปนิดที่ไม่มีตำรวจไทย ทำหน้าที่นายตำรวจประสานงานในประเทศญี่ปุ่น ทางตรงกันข้ามประเทศญี่ปุ่นมีนายตำรวจประสานงานประจำประเทศไทย ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ทางการไทยได้ข้อมูลเร็วกว่านี้ อยากจะวิงวอนรัฐบาลว่า ขณะนี้ศตวรรษที่ 21 ภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดนอกจากภัยธรรมชาติแล้ว ก็คืออาชญากรรมข้ามชาติ เพราะเมื่ออาเซียนรวมกันจะเป็นภูมิภาคที่ไร้พรมแดน ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการประสานงานของตำรวจที่ต้องดำเนินการอย่างใกล้ชิด” ผบก.ตท.กล่าว