ใครๆก็ใฝ่ฝันอยากมีชีวิตดุจเจ้าหญิงในเทพนิยาย ได้พบรักกับเจ้าชายรูปงาม และครองรักกันในปราสาทหลังใหญ่ แต่ในชีวิตจริงจะมีผู้หญิงสักกี่คนที่โชคดีได้แต่งงานกับเจ้าชายในฝัน เฉกเช่น “คุณก้อย–เบญจมา วรวงศ์วสุ เฟลมมิ่ง” ม่ายสาวไทยลูกสอง วัย 46 ปี จากตระกูลไฮโซ ซึ่งพรหมลิขิตขีดเส้นทางรักให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษเกือบ 2 ทศวรรษ กระทั่งได้เจอรักแท้ที่ตามหามาทั้งชีวิต และกลายเป็นนายหญิงคนใหม่ของคฤหาสน์วูดเพอรี่ อายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ในออกซ์ฟอร์ดเชียร์

เจ้าชายในฝันที่พูดถึงมีชื่อว่า “มร.รอรี่ เฟลมมิ่ง” เป็นพ่อม่ายหนุ่มใหญ่เนื้อหอม วัย 46 ปี ทายาทตระกูลเศรษฐีเก่าของอังกฤษ ซึ่งมีทรัพย์สินหลายพันล้านปอนด์ คุณพ่อของเขาคือ “มร.โรบิน เฟลมมิ่ง” เป็นเจ้าของธนาคารเอกชน “เฟลมมิ่ง แฟมิลี่ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส” และหุ้นส่วนวาณิชธนกิจใหญ่ของโลก “จาร์ดีน เฟลมมิ่ง” ซึ่งขายกิจการไปได้ไม่นาน ปัจจุบัน “คุณรอรี่” มีงานหลักคือ การดูแลมูลนิธิของครอบครัว เพื่ออนุรักษ์สนับสนุนศิลปะของตระกูลเฟลมมิ่ง ซึ่งอยู่ในคลังสะสมหลายพันรายการ นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม ในฐานะหลานของ “เอียน เฟลมมิ่ง” ผู้ประพันธ์นวนิยายสายลับชื่อก้อง “เจมส์ บอนด์ 007” ชีวิตของหนุ่มคนนี้นับว่ามีสีสันไม่น้อย เพราะภรรยาคนแรกของเขาเป็นบารอนเนสชาวเดนมาร์ก ทายาทเจ้าของปราสาทวาลเดลมาร์ ตอนที่หย่าร้างกัน เมื่อปี 2008 หลังใช้ชีวิตอยู่กินกันมา 6 ปี และมีทายาทด้วยกัน 2 คน (ลูกชายชื่อ “อเล็กซานเดอร์” วัย 10 ขวบ และลูกสาวชื่อ “โจเซฟิน” วัย 7 ขวบ) เขาต้องจ่ายเงินค่าหย่าเป็นมูลค่าถึง 400 ล้านปอนด์ กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ไปทั่วยุโรปเลยทีเดียว

...

สาวไทยตระกูลดีอย่าง “คุณก้อย” ไปใช้ชีวิตอยู่อังกฤษได้อย่างไร

(ยิ้มหวาน) หลังจาก “ก้อย” จบปริญญาตรีสาขาเมอร์เชนไดซิ่ง จากอเมริกา และกลับมาทำงานเอเจนซีโฆษณาที่เมืองไทยได้ปีหนึ่ง ก็แต่งงานกับสามีคนแรก ตอนอายุ 27 ปี และเก็บกระเป๋าไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษยาวเลย โดยเป็นแม่บ้านเต็มตัว ไม่ได้ทำงานอะไร เพราะสามีอยากให้ทุ่มเทกับการเลี้ยงลูกสาว 2 คน (ทับทิม วัย 12 ปี และมณี วัย 7 ขวบ) “ก้อย” เลี้ยงลูกแบบไทยมาก ไม่เคยคิดเลี้ยงลูกให้เป็นฝรั่ง และคิดไว้ตลอดว่าอยากให้ลูกๆกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทย

เกิดอะไรขึ้นกับการแต่งงานครั้งแรก

“ก้อย” ไม่ใช่คนเพ้อเจ้อ และไม่เคยคิดฝันว่าแต่งงานแล้วจะมีความสุขไปชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วมันอึดอัด ก็ต้องเลิก!! หลังใช้ชีวิตอยู่กับสามีมา 15 ปีเต็ม เราตัดสินใจหย่าขาดจากกัน แต่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

เว้นวรรคไปนานไหม กว่าจะเปิดใจมีรักครั้งใหม่

หลังเลิกกับสามีคนแรก ก็อยู่คนเดียวมาตลอด และมีความสุขกับชีวิตโสดดี “ก้อย” คิดตลอดว่าถ้าจะมีรักครั้งใหม่ มันก็จะมาเองตามพรหมลิขิต ไม่ต้องขวนขวายหรือวิ่งไล่ไขว่คว้า ตอนเจอกับ “คุณรอรี่” เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ก็ไม่คิดอะไรกันเลย เพราะรู้จักในฐานะเพื่อนผู้ปกครองของลูก ลูกสาวคนเล็กของเราทั้งคู่เรียนโรงเรียนเดียวกันคือ ไนท์บริดจ์ สคูล ในกรุงลอนดอน ทำให้มีโอกาสเจอกันตามงานโรงเรียน

หล่อ–รวย–โสด คุณสมบัติครบเครื่องขนาดนี้ ทำไมไม่ปิ๊งตั้งแต่แรกเห็น

ตอนแรกไม่ได้สนใจเขาเลย รู้จักกันตั้งแต่ “มณี” อายุ 3 ขวบ กระทั่งปัจจุบันลูกสาวคนเล็ก อายุ 7 ขวบ แต่เพิ่งมาสานสัมพันธ์กันไม่นานนี้เอง เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนมาดเยอะ และมีสาวๆมาชอบเขาเยอะมาก ใครๆก็บอกว่าเขาเป็นพ่อม่ายเนื้อหอมที่สุดคนหนึ่ง เป็นถึงทายาทตระกูลธนาคารใหญ่ของอังกฤษ เราเลยไม่อยากไปยุ่งมากนัก เขาเป็นหนุ่มเฟรนลี่และค่อนข้างเจ้าชู้ ก็พยายามทักทายและชวนเราคุย แต่แรกๆยังไม่สานสัมพันธ์กันเกินเพื่อน รู้แต่ว่าเขาโดนภรรยาทิ้งตั้งแต่ลูกสาวคนเล็กอายุได้ไม่กี่เดือน ก็แอบสงสารอยู่ในใจ แต่ยังไม่ปิ๊งอะไรทั้งนั้น และจะพยายามนั่งห่างๆเขาด้วยซ้ำ ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากยุ่งเอาซะเลย เพราะเขาเป็นแฟนกับแม่เด็กคนหนึ่งในห้อง และผู้หญิงคนนี้ขี้หึงมาก เราขี้เกียจมีปัญหา เวลาไปไหนด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ เราก็พยายามนั่งห่างๆเขาไว้ จนเขาแอบไปพูดว่าอย่าให้เขานั่งติดกับเบญจมานะ น่าเบื่อมาก เธอไม่พูดอะไรเลย

แล้วเขาตามจีบตอนไหน ถึงได้ตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน

...

(หัวเราะเขิน) ด้วยความที่ “ก้อย” เป็นผู้หญิงโสดมีลูกติด จึงค่อนข้างระวังตัว กระทั่งเขาเลิกกับแฟนและกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง จึงเริ่มแอบออกเดท แรกๆคบกันเดินคนละถนน แล้วค่อยแอบมาเจอกันด้วยซ้ำ คืออายุขนาดนี้แล้ว แถมยังมีลูกติดทั้งคู่ ก็อยากให้มั่นใจจริงๆถึงค่อยเปิดตัวให้สังคมรับรู้

สาวไทยอย่างเรามีเสน่ห์มัดใจตรงไหน ทำให้พ่อม่ายเนื้อหอมยอมคุกเข่าขอแต่งงานครั้งที่สอง

(นิ่งคิด) เราทำให้เขาสงบลงและอยู่ติดบ้านมากขึ้น ปกติเขาจะไฮเปอร์อยู่เฉยๆไม่ได้นาน ที่สำคัญคงเป็นเพราะเราไม่เคยจุ้นจ้านกับเขา ไม่เคยจิกหรือคิดจะจับเขาเหมือนสาวๆทั่วไป บางคนเก็บกระเป๋าเข้ามาอยู่ในบ้านเลยนะ บางคนพยายามแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หรือไม่ก็เป็นสาวช่างขออยากได้โน่นได้นี่ ที่ผ่านมา สเปกเขาต้องสาวสวยผมบลอนด์ แต่ละคนที่เป็นแฟนเขาเป็นดารานางแบบทั้งนั้น เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมเป็นเรา เขาบอกว่าเราเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจไม่อึดอัด ทำให้อยากอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา เขาจะหาเด็กสาวสวยกว่าเราขนาดไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาจีบผู้หญิงวัยเดียวกันอย่างเรา ที่สำคัญ “ก้อย” แสดงให้เขาเห็นว่า เราดูแลตัวเองได้ และไม่เคยคิดให้ผู้ชายคนไหนมาเลี้ยง

“คุณรอรี่” โรแมนติกไหม เขาแสดงออกว่ารักจริงหวังแต่งหรือเปล่า

ไม่โรแมนติกเลย!! เราแอบออกเดทคบกันอยู่พักหนึ่ง กระทั่งมั่นใจในกัน และกัน เขาจึงแสดงออกเป็นนัยว่าจริงใจกับเรานะ โดยชวนไปที่บ้าน และพยายามดึงเราเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลบ้านดูแลสวนอะไรแบบนี้ หรือเวลาจัดงานที่บ้านก็จะดึงเราไปช่วยรับแขก แต่ด้วยความที่ “ก้อย” ถูกสอนมาว่าเราไม่ควรเจ้ากี้เจ้าการในบ้านคนอื่น ตราบใดที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นภรรยาของเขา จึงปฏิเสธตลอด ขออยู่สงบๆตามประสาเราดีกว่า ซึ่งมันตรงข้ามกับสาวอื่นที่พยายามแสดงตัวเป็นเจ้าของ บางคนเอารูปตัวเองมาติดในบ้านเขา เราคบกันประมาณ 3 ปี เขาถึงขอแต่งงาน

...

เขาขอแต่งงานยังไง ได้ข่าวว่าต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(หัวเราะ) ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เขาเพิ่งขอแต่งงานเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยขอทางโทรศัพท์ โทร.มาถามว่า ยูพร้อมจะแต่งงานหรือยัง ก่อนหน้านั้น “ก้อย” รู้สึกลังเลใจ เพราะคบกันไปสักพัก เขายังไม่ขอแต่งงาน ก็เลยบินกลับมาเมืองไทย ไปไหว้ขอ “พระพรหมเอราวัณ” ให้เจอรักแท้ เพราะชีวิตนี้ไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว ถ้าเขาเป็นคนที่ใช่ก็ขอให้ได้แต่งงานอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าไม่ใช่รักแท้ก็ขอให้แยกย้ายจากกันไปตอนนี้ คือต้องเข้าใจว่าคนเคยแต่งงานมาแล้ว ก็ไม่อยากเจ็บปวดผิดหวังอีก ตอนเข้าไปอยู่ในบ้าน “คุณรอรี่” ใหม่ๆ “ก้อย” อธิษฐานกับเจ้าที่เจ้าทางเหมือนกันว่า ถ้าเราไม่มีบุญที่จะได้อยู่กับเจ้าของบ้านหลังนี้ และเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ ขอให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องไป หลังจากนั้นไม่นาน “ก้อย” กับ “คุณรอรี่” ก็ตัดสินใจ เปลี่ยนเบอร์มือถือเพื่อขอให้ได้แต่งงาน ปรากฏว่าเปลี่ยนเบอร์มือถือปั๊บ 4 อาทิตย์หลังจากนั้น เขาโทร.มาขอแต่งงานด้วยเบอร์ใหม่ แล้วเราก็ตอบรับแบบไม่ลังเลใจ คือทุกอย่างไม่มีอุปสรรค จากที่เคยกลัวก็หมดความกลัวไปเลย เหมือนใจเราทั้งคู่มันเปิดหมด

...

ปรับตัวยากไหมคะ เป็นมาดามคนใหม่ของทายาทตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆ

ก็มีโดนลองของบ้าง แต่เป็นผีนะคะ ไม่ใช่คน (หัวเราะ) บ้าน “คุณรอรี่” มีผีเยอะมาก เพราะเป็นคฤหาสน์เก่าแก่สิบห้องนอน อายุหลายร้อยปี มีพื้นที่รอบๆมากกว่า 700 เอเคอร์ คนทำงานในบ้านมีเป็นสิบคน เกือบทุกคนเคยโดนผีหลอกมาแล้วทั้งนั้น บางคนเห็นเป็นผีผู้หญิงชุดขาวในห้องเก็บผ้าเช็ดตัว บางคนเห็นเป็นผีผู้ชายอยู่ในสวน เราเป็นคนกลัวผี ตอนหลังเลยต้องหาหมอผีมาดูที่บ้าน หมอผีบอกว่าทุกห้องมีวิญญาณอยู่ ทั้งห้องใต้ดิน, ห้องทำงาน และห้องซักผ้า วันไหนที่ “คุณรอรี่” ไม่อยู่บ้าน “ก้อย” ก็จะไม่อยู่บ้านเหมือนกัน และจะย้ายไปนอนที่บ้านในตัวเมืองลอนดอน นอกจากนี้ ก็โดนลองของจากพวกไฮโซอังกฤษ “คุณรอรี่” เป็นคนดังในแวดวงสังคม มีมูลนิธิการกุศลเก่าแก่ของตระกูลให้ดูแล และต้องออกงานสังคมเยอะ มีกิจกรรมยามว่างคือการล่าสัตว์ และเดินดูพื้นที่ธรรมชาติในอาณาเขตของตัวเอง แรกๆ “ก้อย” จะโดนถามว่า ยูมาจากประเทศไทยเหรอ บ้านยูยังขี่ช้างกันอยู่หรือเปล่า เราไม่ใช่คนกลัวฝรั่ง (เน้นเสียงเข้ม) ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาแล้ว เราตอบกลับได้ฉะฉานทุกอย่าง “ก้อย” เห็นโลกกว้างมาพอสมควร จึงไม่คิดอยากทำตัวเป็นฝรั่ง หรือเห็นดีเห็นงามกับทุกอย่างที่ฝรั่งทำ อยากจะบอกฝรั่งด้วยซ้ำว่า ประเทศไทยเจริญมาก และคนไทยมีความรู้ความสามารถไม่แพ้ฝรั่งหรอกนะ

ครอบครัวในฝันของนายหญิงคนใหม่ตระกูลเฟลมมิ่งจะสวยหรูขนาดไหน

ก็อยากสร้างครอบครัวอบอุ่นที่อยู่กันแบบเพื่อนด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน เราอายุเยอะกันแล้ว คงไม่ทำตัวหวานแหวว ส่วนลูกๆ ของพวกเราก็เริ่มโตแล้ว “ก้อย” ไม่เคยทำตัวเป็นแม่เลี้ยง จะวางตัวเป็นเพื่อนเป็นพี่มากกว่า โชคดีที่เด็กๆเข้ากันได้ดีมาก และเรียนโรงเรียนเดียวกัน

ชีวิตดุจเทพนิยายไม่ใช่เรื่องฝันกลางวันนะคะสาวๆ!!

ทีมข่าวหน้าสตรี