"อภิสิทธิ์" เหน็บปมยื่นศาล รธน.ชี้ขาดกฎหมาย ป.ป.ช. อยู่ที่ สนช.จี้ "บิ๊กป้อม" แจงนาฬิกาหรู 20 เรือน ชี้กระทบ "บิ๊กตู่" ยกสมัย "วิทยา-วิฑูรย์" ยังลาออก หวั่นเป็นภาระ รบ.เตือนอย่าใช้วาทกรรมยกเว้นหลักประชาธิปไตย ย้ำ รธน.นิยมกับหลัก ปชต.คนละเรื่อง แนะยอมรับเป็น ปชต.ครึ่งใบดีเสียกว่า

เมื่อวันที่ 15 ม.ค.61 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการต้องถาม ทางสถานีโทรทัศน์ช่องฟ้าวันใหม่ ถึงกรณีกระแสข่าวสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อาจจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ถึงวันนี้ตนแทบไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไร เพราะการให้ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อหรือไม่ของคณะกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ ไม่มีมาตรฐาน และทุกอย่างกลายเป็นดุลยพินิจของ  สนช.ว่าจะอย่างไร แต่เมื่อมีคนติดใจและหากยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงจะสร้างความลำบากใจกระอักกระอ่วนพอสมควร ซึ่งศาลต้องคิดให้ตกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะมีคนในองค์กรมีส่วนได้ส่วนเสียพัวพันไปด้วย

"เรื่องการให้อยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ ถ้ายึดหลักการมากกว่าตัวบุคคลจะพิจารณาได้ง่าย คนที่เขียนบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ควรตัดสินใจว่าเมื่อกำหนดมาตรฐานใหม่แล้ว ให้ใช้ทันทีไหม เทียบกับคนมีประสบการณ์จะให้ทำงานต่อไหม ซึ่งน่าจะกำหนดหลักให้ชัดตั้งแต่เขียนบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีนาฬิกาข้อมือหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ซึ่งปัจจุบันปรากฏถึง 20 เรือน ว่า ไม่มีอะไรซับซ้อน โดยก่อนอื่นต้องพิสูจน์ว่านาฬิกามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าจริงต้องอธิบายว่าเป็นของใคร และถ้ามั่นใจในคำชี้แจงก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะบอกต่อสาธารชน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ตอนนี้เรื่องยืดเยื้อและประชาชนไม่พอใจ และอาจจะลามไปถึงนายกรัฐมนตรีด้วย เป็นเรื่องอื้อฉาวที่กระทบต่อภาพลักษณ์ อย่างไรก็ตามถ้ายังจำกันได้ในสมัยที่ตนเป็นรัฐบาล เพียงแค่เกิดเรื่องราวขึ้นยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข หรือกรณี นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังขอลาออก เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งตนจำคำพูดของนายวิทยาบอกได้ว่า "ผมไม่อยากเป็นภาระของรัฐบาล"

...

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ว่า ตนไม่ทราบว่าประชาธิปไตยไทยนิยมเป็นแบบใด และต้องระมัดระวังเพราะคำดังกล่าวมีความหมายค่อนข้างชัด ความเป็นไทยในประชาธิปไตยแบบไทยๆ อยู่ที่ไหน และมีเรื่องอะไรที่เป็นแบบไทยๆ ตอนนี้บอกได้แบบเดียวว่า ไม่เป็นสากลก็เลยเป็นไทย แต่สำหรับตนไม่เคยปฏิเสธว่าการปรับให้เข้าสังคมวัฒนธรรมมีความจำเป็น แต่ก็คงไม่ใช่นำเรื่องวัฒนธรรมหรือสังคมมาเป็นข้ออ้างในการจะยกเว้นไม่ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐาน ยังอยากที่จะใช้คำที่ดูเป็นเรื่องดี เป็นสากล

"หลังการเลือกตั้งถ้า ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง คนที่มาจากการเลือกตั้งจะจัดตั้งรัฐบาล ไม่ควรจะมีการใช้อำนาจวุฒิสภามาฝืนเจตนาของประชาชน เพราะมันไม่ใช่ประชาธิปไตย หรืออย่าไปใช้คำว่าประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ผมต้องถามกลับว่าความเป็นไทยของวุฒิสภา มีมากกว่าความเป็นไทยของการเลือกตั้งคนไทยมากน้อยเพียงใด หากอ้างว่าทำตามรัฐธรรมนูญ ก็ขอชี้แจงว่ารัฐธรรมนูญนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เพราะในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ก็มีรัฐธรรมนูญเช่นกัน หากยังจำกันได้ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีคำว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งผมคิดว่าอย่างน้อยยังมีความตรงไปตรงมา ยอมรับเป็นประชาธิปไตยครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งไม่เป็น แต่ไม่ใช่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มที่ เพราะมันไม่ได้เป็น" นายอภิสิทธิ์ กล่าว.