เหตุใดบางคนจึงติดเชื้อโควิด-19?
เหตุใดบางคนจึงไม่ติด?
ทั้งๆ ที่พวกเขาอาจจะสัมผัสเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจำนวนเท่าๆ กันก็ตาม
คำถามที่บางที “คุณ” อาจกำลังสงสัยอยู่ใช่หรือไม่?
ในวันนี้ “เรา” ลองไปฟังความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่พยายามค้นหา “คำตอบ” ในเรื่องนี้กันดูว่า มันอาจจะเกิดขึ้นมาจากปัจจัยใดได้บ้าง และจนถึงปัจจุบันมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหนกันแล้ว?
ทีเซลล์ (T cells) :
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา งานวิจัยล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ อิมพีเรียล คอลเลจ ประเทศอังกฤษ ระบุว่า การสัมผัสกับไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ไม่ได้ทำให้เกิดการติดเชื้อได้เสมอไป
โดยเฉพาะกับคนส่วนหนึ่งที่มี “ทีเซลล์” ในระดับสูงหลังติดเชื้อไข้หวัดธรรมดาก่อนหน้านี้ กลับมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่แข็งแกร่ง จนกระทั่งแม้จะได้สัมผัสกับไวรัส SARS-CoV-2 แต่กลับไม่ได้ติดเชื้อ อย่างไรก็ดียังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ สามารถหลีกเลี่ยงไวรัสได้อย่างสมบูรณ์ หรือเป็นเพราะสามารถกำจัดไวรัสได้ตามกลไกธรรมชาติก่อนที่จะตรวจพบด้วยวิธีการตรวจหาเชื้อ
แต่ถึงแม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้ จะถือเป็นหนึ่งในการค้นพบครั้งสำคัญ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังคงยืนยันว่ามันเป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบของการป้องกันเท่านั้น และวิธีการที่ดีที่สุดจากการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในเวลานี้ ยังคงเป็นการเข้ารับการฉีดวัคซีนครบสูตร รวมถึงวัคซีนเข็มกระตุ้น
*** หมายเหตุ ทีเซลล์ คือ เซลล์ชนิดหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่หลักในการค้นหาเซลล์ที่ติดเชื้อหรือเชื้อโรคต่างๆ และกำจัดมันทิ้ง แถมยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเชื้อโรคชนิดเดิมกลับมา ***
...
พันธุกรรม :
อีกหนึ่งคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 เหตุใดคนสองคนที่ติดเชื้อโควิด-19 เหมือนกัน จึงมีการตอบสนองต่อการติดเชื้อแตกต่างกันมาก โดยคนหนึ่งอาจพบว่ามีอาการป่วยหนัก ในขณะที่อีกคนกลับไม่แสดงอาการป่วยใดๆ เลย
โดย ศจ.แดนนี อัลแมน (Danny Altmann) ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยา อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน เปิดเผยว่า งานวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมกับระบบภูมิคุ้มกัน และการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งกำลังจะมีการเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ พบว่ารูปแบบของระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์สามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้
โดยการวิจัยที่มุ่งเน้นไปที่ Human leukocyte antigen หรือ HLA ซึ่งเป็นแอนติเจนที่พบได้บนผิวเซลล์ของเม็ดเลือดขาวและเนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกาย เกี่ยวข้องกับกระบวนการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย พบว่า HLA บางชนิดมีแนวโน้มว่าจะมีการติดเชื้อโควิด-19 แบบแสดงอาการอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะคนที่มียีน HLA-DRB1*1302
วัคซีนต้านโควิด-19 :
วัคซีนต้านโควิด-19 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดการติดเชื้อรุนแรง ลดการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงลดการเสียชีวิตได้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีวัคซีนชนิดใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้ 100% ก็ตาม
อย่างไรก็ดี ข้อมูลเท่าที่มีอยู่จนถึงตอนนี้ คือ แม้ว่าจะมีบางคนที่ฉีดวัคซีนครบสูตร หรือ วัคซีนเข้มกระตุ้นแล้ว แต่ก็ยังสามารถติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้ (ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง) แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่มีการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันที่แตกต่างออกไป ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาวัคซีนในอนาคต
ผลการทดสอบล่าสุดพบอะไรเพิ่มเติม?
การทดลองล่าสุดของ อิมพีเรียล คอลเลจ ร่วมกับศูนย์วิจัยอื่นๆ ในประเทศอังกฤษ ซึ่งได้มีการนำอาสาสมัครวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดีรวม 36 คน มาทำการทดสอบด้วยการให้ได้รับเชื้อโควิด-19 ในระดับต่ำด้วยวิธีการแหย่เข้ารูจมูก จากนั้นอาสาสมัครจะอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่และการควบคุมภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีการควบคุมภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ติดเชื้อ ในขณะที่อีก 50% ไม่ติดเชื้อ
...
โดยอาสาสมัคร 18 คนที่ติดเชื้อ มีจำนวนมากถึง 16 คน ที่พบว่ามีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย คล้ายอาการเป็นหวัด เช่น อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม และเจ็บคอ
นอกจากนี้ยังได้รับข้อมูลสำคัญเรื่อง “ระยะฟักตัว” โดยทั้ง 18 คน มีเวลาเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มสัมผัสไวรัสครั้งแรกจนถึงการตรวจพบไวรัสและเริ่มมีอาการในระยะเริ่มแรก ประมาณ 42 ชั่วโมง ซึ่งสั้นกว่าประมาณการค่าเฉลี่ยก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5-6 วัน และจากการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสในจมูกและคอของอาสาสมัครที่ติดเชื้อ ยังพบว่าด้วยว่า ค่าเฉลี่ยปริมาณของเชื้อไวรัสที่พบสูงสุด อยู่ที่ช่วงเวลาประมาณ 5 วันหลังการติดเชื้อ ในขณะที่บางคนอาจพบปริมาณเชื้อสูงสุด ในวันที่ 9-12
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การพบระดับการแพร่กระจายของไวรัสในรูจมูกจะสูงกว่าในลำคออย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า มีความเสี่ยงที่ไวรัสจะหลั่งออกจากจมูกได้มากกว่าทางปาก ซึ่งนั่นทำให้ การตรวจด้วย Lateral Flow Test (LFT) ซึ่งเป็นการตรวจด้วยอุปกรณ์ทดสอบที่ง่ายและรวดเร็วน่าจะยังใช้ได้ผลต่อไป
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ
บทเรียนมูลค่า 60,000 ล้าน ของ Spotify จริยธรรมสื่อต้องอยู่เหนือ Fake News
หากโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เช็กลิสต์สิทธิ์รักษา ข้อไหนบ้างที่เปลี่ยนไป
โนวัค ยอโควิช เบื้องหลังการถูกเนรเทศ และอนาคตที่เริ่มมืดสลัว
...
เปิดราคาต้องจ่าย Home Isolation และ Hospitel ในยุคโควิด “โอมิครอน”
“เมสัน กรีนวูด” อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ ที่(อาจ) ก้าวไม่พ้นเงาของตัวเอง