สงครามอิสราเอล-ฮามาส คร่าชีวิตนักข่าวแล้วเกือบ 200 คน หลังล่าสุดอิสราเอลโจมตี รพ.ในฉนวนกาซา ส่งผลนักข่าวดับเพิ่ม 5 ราย 

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2568 อิสราเอลโจมตีทางอากาศเข้าใส่พื้นที่ฉนวนกาซาอีกครั้ง โรงพยาบาลนาสเซอร์ ในเมืองข่านยูนิส ทางตอนใต้ของกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 20 ศพ ในจำนวนนั้นเป็นนักข่าว 5 ราย ซึ่งเป็นนักข่าวอิสระที่ทำงานให้กับสำนักข่าวต่างประเทศ ได้แก่

มูฮัมหมัด ซาลามา ช่างภาพของสำนักข่าวอัล จาซีรา, ฮุสซาม อัล-มัสรี นักข่าวที่ทำงานให้กับรอยเตอร์, มาเรียม อาบู ดักกา ช่างภาพที่ทำงานให้กับเอพี (AP) และสำนักข่าวอื่น ๆ ตลอดช่วงสงคราม รวมถึง อาเหม็ด อาบู อาซิซ นักข่าวอิสระของสำนักข่าวเดอะ มิดเดิล อีสต์ อาย และ มูอาซ อาบู ทาฮา ช่างภาพ 


วิดีโอบันทึกเหตุการณ์แสดงให้เห็นภาพบริเวณบันไดที่นักข่าวมักใช้เป็นจุดในการถ่ายภาพมุมกว้าง ถูกโจมตีทางอากาศได้รับความเสียหาย บุคลากรการแพทย์และกู้ภัยกำลังเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ก่อนที่บริเวณดังกล่าวจะถูกโจมตีซ้ำเป็นครั้งที่ 2 เกิดกลุ่มควันและเศษซากตึกแตกกระจาย  

...


การเสียชีวิตของนักข่าว 5 รายในครั้งนี้ ส่งผลให้จำนวนนักข่าวและผู้ทำงานด้านสื่อที่เสียชีวิตในสงครามอิสราเอล-กาซา เพิ่มเป็นเกือบ 200 คน 

ข้อมูลจากคณะกรรมการคุ้มครองนักข่าว (Committee to Protect Journalists : CPJ) องค์กรด้านการป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ เปิดเผยว่า ข้อมูล ณ วันที่ 25 ส.ค. 2568 มีนักข่าวเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 197 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวปาเลสไตน์ที่ 189 คน เป็นชาวเลบานอน 6 คน และชาวอิสราเอล 2 คน บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 135 คน สูญหาย 2 คน และถูกจับกุมอย่างน้อย 90 คน

2 ใน 3 ของนักข่าวที่เสียชีวิตเกิดจากการโจมตีทางอากาศ สาเหตุรองลงมาคือการโจมตีด้วยโดรน โดย  CPJ  เชื่อว่ามีนักข่าว 26 คนที่ถูกกองทัพอิสราเอลมุ่งเป้าโจมตีโดยตรง และจัดให้เป็น “การฆาตกรรม” และกำลังสืบสวนอีกอย่างน้อย 20 กรณีว่าเป็นการตั้งใจโจมตีนักข่าวโดยตรงหรือไม่ ซึ่งนักข่าวจัดเป็น “พลเรือน” ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และการตั้งใจโจมตีเป้าหมายพลเรือนถือเป็นอาชญากรรมสงคราม

นับตั้งแต่เกิดสงครามเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 อิสราเอล ห้ามไม่ให้นักข่าวต่างชาติเข้าไปทำข่าวอย่างอิสระภายในฉนวนกาซา มีเพียงนักข่าวบางส่วนที่ได้เข้าไปทำข่าวภายใต้การกำกับของกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) ทำให้สำนักข่าวส่วนใหญ่อาศัย "ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น" ในการรายงานข่าวออกมาจากในพื้นที่ 


โจดี้ กินส์เบิร์ก ประธาน CPJ กล่าวว่า อิสราเอลจงใจเล็งเป้ากล้องของรอยเตอร์ ผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือก็ถูกสังหารซ้ำในการโจมตีระลอกที่สอง ละเมิดกฎหมายและเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม

อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ออกแถลงการณ์ประณามการสังหารนักข่าวและบุคลากรแพทย์ ระบุว่า การโจมตีครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่บุคลากรการแพทย์และสื่อมวลชนต้องพบเจอในการปฏิบัติงานท่ามกลางเหตุขัดแย้ง 

ยูเอ็นเรียกร้องให้พลเรือน ซึ่งรวมถึงบุคลากรแพทย์ และนักข่าว ต้องได้รับการคุ้มครองทุกเวลา และสามารถทำหน้าที่ได้โดยปราศจากการแทรกแซง คุกคาม หรือการทำร้ายตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และให้มีการสอบสวนเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและเป็นกลาง 

เลขาธิการสหประชาชาติ ยังย้ำข้อเรียกร้อง ให้มีการหยุดยิงโดยทันทีและถาวร เปิดทางให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซา และปล่อยตัวประกันทุกคนโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข

ด้านเบนจามิน เนทันยาฮู นายกฯ อิสราเอล โพสต์ข้อความใน X (ทวิตเตอร์) ว่า อิสราเอลเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อ “อุบัติเหตุอันน่าเศร้า” ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ในกาซา ยืนยันว่าอิสราเอลให้ความสำคัญต่อการทำงานของสื่อมวลชน บุคลากรทางการแพทย์ และพลเรือนทุกคน และตอนนี้ทางกองทัพกำลังสืบสวนอย่างละเอียด อิสราเอลทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายฮามาสเท่านั้น และเป้าหมายคือการกำจัดฮามาสและนำตัวประกันกลับบ้าน

...

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลา 2 สัปดาห์หลังจากอิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่เต็นท์ของนักข่าวบริเวณประตูหลักของ รพ.อัล-ชิฟา ในกาซาซิตี้ ส่งผลให้ทีมนักข่าว 5 คนของสำนักข่าวอัล จาซีราเสียชีวิตซึ่งรวมถึง "อนาส อัล-ชารีฟ" วัย 28 ปี ผู้สื่อข่าวชื่อดังที่รายงานสดจากภาคสนามบ่อยครั้ง โดยในครั้งนั้นกองทัพอิสราเอลยอมรับว่ามุ่งเป้าสังหารชารีฟจริง โดยอ้างว่าเขาทำงานให้กับฮามาส  

ที่มา : BBC, CPJ,  x.com/netanyahu, press.un, thairath